13-22 May 2011 : Southern Island, New Zealand (Part 1)

และแล้วก็มาถึงประเทศสุดท้ายใน combo เที่ยวทั่วโลกจนได้ นิวซีแลนด์ดินแดนในฝันของข้าพเจ้า ช่วงที่ดู the Lord of the rings เคยฝันไว้ว่าครั้งหนึ่งจะต้องไปเที่ยวประเทศนี้ให้ได้ และก็คิดว่าเป็นแค่ความฝันมาตลอดเพราะต้องใช้เงินมหาศาลในการไปที่ยว แต่สุดท้ายก็จับพลัดจับพลูได้ไปเหยียบดินแดนสามหมอกจนได้..

ทริปนี้เป็นการรวมตัวของน้องชายของข้าพเจ้าที่หาดใหญ่และเพื่อนสนิทของน้องเค้า.. รวมตัวกันสามหน่อแล้วขับรถไปตะลุยกัน ^^

Blogs ทั้งหมดของ New Zealand ขออนุญาตยกกะบิมาจาก blogs ที่น้องชายข้าพเจ้าได้เขียนไว้เมื่อครั้งเพิ่งกลับมาสดๆร้อนๆมาทั้งหมดเลยนะครับ เพราะเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์และยังสดจริงๆ

Plan การท่องเที่ยวตลอด 8 วันเต็มใน New Zealand ตาม spreadsheet นี้เลยครับ 🙂

NZ Plan 2011

เชิญทัศนาได้เลยครับ

======================================================================================================

The Kiwi way @ Southern island, New Zealand [13-22May2011]

               จะเริ่มยังไงดีกับบันทึกการเดินทางครั้งนี้ จะบอกว่ามันคือการเดินทางที่โคตรจะมีความสุขครั้งหนึ่งชีวิต ช่วงเวลาที่อยู่ที่เกาะใต้แห่งนิวซีแลนด์นี้ เดินทางทุกวันจริงๆ รวมระยะทางทั้งหมดที่ขับไปตั้ง 2260 กิโลเมตรแน่ะ ไม่น้อยเลยนะครับ ทุบสถิติการขับรถเลย เพราะปกติเป็นคนขับทางไกลไม่เก่ง ขี้เซาด้วย แต่ครั้งนี้สู้สุดชีวิต ขับไปชมวิวไป วิวมันสวยจริงๆ แทบไม่อยากกระพริบตาเลย(อันนี้เริ่มเว่อร์) หากใครมีโอกาสได้ไป มั่นใจร้อยทั้งร้อยจะหลงรักประเทศนี้ไปอย่างหัวปรักหัวปรำ

หาที่ไปที่ไหนดีน้าาาาาา

               คำถามที่โดนถามบ่อยว่า ทำไมครั้งนี้เลือกไปนิวซีแลนด์ จริงๆแล้ว ประเทศนี้ไม่ใช่เป้าหมายหลักที่จะไปด้วยซ้ำ เป็นแค่แผนสำรอง เนื่องจากว่าค่าใช้จ่ายในการเที่ยวมันค่อนข้างสูง เลยเลือกไปเที่ยวทิเบตเป็นอันดับแรก หลังจากวางแผนการเที่ยวเสร็จ ก็ดันมาทราบว่า มันปิดประเทศในช่วงนี้ กลายเป็นว่า แผนการบุกหลังคาโลกเป็นอันล่มสลาย

นี่ไง ทิเบต

จึงได้เบนเข็มไปหลังคาโลกอีกฝั่ง เตรียมบุกภูฏาน เมืองในม่านเขา โดยได้ติดต่อกับเจ้าของประเทศเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย สุดท้ายกลับล่มเนื่องจากไม่สามารถจะทำการinviteได้สำเร็จ ณ ตอนนั้นเคว้งคว้างมาก ไม่รู้จะไปไหน เบนเข็มไม่ถูก ความคิดเริ่มกระจาย สถานที่อยากเที่ยวกระเด็นออกมาจากหัวเกลื่อกลาด ทั้ง คานาสือ(ที่ราบเขาชิงไห่ ในประเทศจีน เดินทางลำบากใช่ย่อย) ต้าลี่-ลี่เจียง-แชงกริลา(นี่ก็เมืองในฝัน) ญี่ปุ่น(แผ่นเดินเพิ่งไหว) และก็มาปิดท้ายด้วยนิวซีแลนด์ นี่ล่ะ เอาว่ะ ตอนนั้นคิดว่าแพงยังไงก็ไม่สนแล้ว เป็นไงเป็นกัน โอกาสลาได้นานเป็นสิบวันมันไม่ได้มีบ่อยๆ ผมและเพื่อนพ้องจึงตกลงกันอย่างเอกฉันท์อีกรอบว่าประเทศนี้ล่ะ โลดดดดดด มรสุมถัดมาเข้ามาอีกหลังได้ประเทศเป้าหมาย ก็ได้ข่าวประกาศว่าทิเบตเปิดประเทศแล้ว โอยยย…แย่ล่ะ ลังเลอย่างหนัก จะไปไหนดีๆ และการตัดสินกันรอบสองก็เกิดขึ้น เอาว่ะ นิวซีแลนด์ นี่ล่ะ ฟันธง! เตรียมใจแล้วนี่หว่า ความรู้สึกอยากเที่ยวพุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่หดหายไปในช่วงหาที่เที่ยวอื่นๆ เพราะว่ามันล้มเหลวไปหลายรอบเช่นกัน ณ ตอนนั้นก็ไปขุดหนังสือท่องเที่ยวที่ซื้อสำรองไว้มานั่งเปิดดู ก็ได้พบคำถามใหม่ในการเที่ยวครั้งนี้ว่า “พวกเราจะไปเกาะไหนกันดี” เกาะเหนือหรือเกาะใต้ เท่าที่รู้มา เกาะเหนือจะเน้นactivities มีความเป็นเมืองซะมากกว่า(ก็เป็นที่ตั้งเมืองหลวงนี่นา) ธรรมชาติก็มีบ้าง ส่วนเกาะใต้ เน้นธรรมชาติเป็นหลัก และหนังสือท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็จะไปที่เกาะใต้นี้ล่ะครับ ประมาณ 90% ของหนังสือท่องเที่ยวนิวซีแลนด์ก็ไปเกาะใต้ ใครไปใครมาก็บอกว่าถ้าไปนิวซีแลนด์ต้องไปเกาะใต้ให้ได้นะ และนี่ล่ะครับ คือที่มาของคำตอบว่า ทำไมพวกผม จึงไปเที่ยวเกาะใต้นิวซีแลนด์กัน

Aotearoa หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว

               จากการศึกษาข้อมูลหนังสือท่องเที่ยวหลายเล่ม ศึกษากันที่ร้านขายหนังสือน่ะ…หุหุ ก็มีแนะนำมากมาย สุดท้ายหนังสือที่ถูกตาต้องใจผมก็ไม่พ้น เที่ยวไม่ง้อทัวร์อีกแล้ว ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ บังเอิญชอบสไตล์การแนะนำ การวางแผนเที่ยวของหนังสือน่ะครับ ประกอบกับมีการอิงข้อมูลพื้นฐาน เช่น ประวัติศาสตร์ เรื่องเล่า เข้ามาด้วย ทำให้ช่วยเพิ่มอรรถรสในการพกไปเที่ยวระหว่างการเดินทาง

               เมื่อมีเป้าหมาย ผมก็จะมุ่งไป ฮ่าๆๆ ดูมีอุดมการณ์มาก การวางแผนการท่องเที่ยวก็เริ่มต้นขึ้น อย่างจริงๆจังๆ ร่วมกับการหาตั๋วเครื่องบินกันจ้าระหวั่น ต้องหาตั๋วราคาดี เวลาดี สุดท้ายก็ได้สายการบิน Emirate มาครอบครอง โดยไปต่อเครื่อง(via)ที่ Sydney ในด้านที่พักก็ทำการจองที่พัก check ratingว่าที่ไหนดี ที่ไหนถูก ส่วนรถเช่าก็หารถเช่าท้องถิ่นของที่นิวซีแลนด์เอา ถูกกว่าพวกรถเช่าinterตั้งเท่าตัวแน่ะ และก็ทำการจองล่องเรือMilford ไว้ด้วย พร้อมลุย วู้ววๆๆ

               จะบอกว่าค่าใช้จ่ายทริปนี้ล้วนแล้วจ่ายเองทั้งสิ้นนะครับ ถึงเวลาแล้วที่จะได้หาเอง จ่ายเอง ใช้เอง ฮิ้ววววว, อ่อ กรอบแกรบเองด้วย T,T

               บันทึกความทรงจำครั้งนี้ ก็อยากให้เป็นหลักฐานความทรงจำ ว่าครั้งหนึ่ง เราก็เคยมีความสุข และทำอะไรแบบนี้มาแล้ว หวังว่ากลับไปเที่ยวนิวซีแลนด์ครั้งหน้า(แน่นอน) จะได้มาทบทวนเรื่องเล่าที่ได้บันทึกไว้ในครั้งนี้ด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง

Day1 : 13May2011 “Wow! Emirate”

               วันแรกของการเดินทางก็มาถึง ผมบินตรงจากหาดใหญ่เพื่อมารอเครื่องที่กรุงเทพตั้งหนึ่งคืน จริงๆก็คือพยายามทำยังไงก็ได้ให้ไกลรพ.ที่ทำงานมากที่สุด ตอนนั้นรู้สึกได้ว่า ความอิสระเสรี ที่ขาดหายมานาน กำลังจะกลับมาเยือน อยากทำอะไร..ทำ อยากไปไหน..ไป แม้ว่างบางทีในช่วงก่อนออกเดินทางจะมีโทรศัพท์ดังกวนใจ พร้อมขึ้นชื่อที่บันทึกไว้ด้วยคำว่า PSU ขึ้นมาหลายครั้ง ก็แค่ยกหูแล้วพูดให้ชัดว่า “ผมลางานครับ” แล้ววาง แหมะ สะใจจริงๆ แล้วนึกเพ้อต่ออีก โอ้ว ชีวิตอีกเก้าวันที่เหลือ ช่างน่าพิสมัยอะไรยิ่งนัก จะเดินเดินทางแล้วสินะเนี่ย อีกไม่นานก็หนึ่งทุ่มแล้วเวลาdepart

               เนื่องจากกลัวรถติดมากจึงมาถึงสุวรรณภูมิตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อมากันครบองค์ประชุมก็ไปcheck in ทันที จัดแจงส่งกระเป๋าbackpackerคู่ใจทั้งสามใบให้วิ่งผ่านไปตามสายพานมุ่งตรงสู่เครื่องบิน เตรียมออกเดินทางไปแวะSydney ก่อนจะไปจบปลายทางที่Chirstchurch

               เครื่องบินดูดีมาก เนื่องจากไม่ค่อยได้นั่งเครื่องบินดีๆ ปกตินั่งนกแอร์ ไกลหน่อยไปฮ่องกงก็Cathey pacific พอมาเจอเครื่องมีระดับแบบนี้ ดี๊ด๊าเกินปกติทันที พอได้จับจองที่นั่งก็เริ่มเล่นอุปกรณ์รอบด้านทันที หน้าจอtouch screenจิ้มมันเข้าไป กดๆๆๆ แล้วก็มีโทรศัพท์บนเครื่อง พลิกอีกฝั่งเป็นแป้นกดเล่นเกมส์ได้ พลิกด้านข้างมีที่รูดบัตรเครดิตการ์ด นอกจากนี้ระบบโปรแกรมยังมีหนังให้เลือกดูเป็นร้อยๆเรื่อง เกมส์หลากชนิด เพลงหลากยุค และยังสามารถกดดูวิวด้านหน้า และด้านใต้เครื่องบินอีกด้วย สุดยอดไปเลยพ่อแม่พี่น้อง เล่นบ้ากันอยู่บนเครื่องแบบบ้านนอกเข้ากรุงมาก แต่ไม่สน…ฮ่าๆๆ  นั่งเครื่องไปสักพักก็จะมีแจกแปรงและยาสีฟัน ที่ปิดตา และถุงเท้าไว้ใส่นอนบนเครื่อง ไม่ธรรมดาแฮะ คนที่สนใจเรื่องกินก็ต้องมาเจออาหารบนเครื่อง มื้อใหญ่สองมื้อ และมื้อเล็กหนึ่งมื้อ รสชาติพอใช้ รำคาญเรื่องกินนี่ล่ะ ปลุกมากินตลอดเลย คนจะหลับจะนอน ใครที่อยากกินไวน์หรือวิสกี้ก็บอกพนักงานได้ จะบริการส่งถึงที่เลยล่ะ ตอนขาไปยังไม่ได้สั่ง เพราะยังเกร็งๆอยู่ แต่ขากลับเนี่ย สั่งไวน์แดง แอร์ถามต่อว่าจะเอาของประเทศไหน มีฝรั่งเศสกับออสเตรเลีย เนื่องจากเพื่อนๆเลือก ออสเตรเลียกันหมด ผมก็เลยจักฝรั่งเศสมากินซะนี่ อร่อยนะครับ ชอบๆ

อีกหนึ่งมุมในสวย

               ใช้เวลาบนเครื่องไปประมาณ 13 ชม.ได้ ไปพักเครื่องที่Sydneyประมาณ 1 ชม. เดินเล่นแดนจิงโจ้ที่airportเล่นๆ ไม่มีอะไรน่าซื้อมากนัก เลยมานั่งรอไปนิวซีแลนด์ต่อดีกว่า ในขาไปเนื่องจากผมดันเอากระเป๋าคู่ใจไปด้วย มันเป็นตุ๊กตาปีศาจ หุหุ นั่นล่ะ ตัวดีเลย ไปที่ไหนก็มีแต่คนจะมาตรวจมัน ตั้งแต่สนามบินที่ไทยแล้ว ตอนผ่านเครื่องสแกนแอบมองดุ หน้าตาเหมือนเด็กทารกเลย พอมาถึงที่ออสเตรเลีย เจ้าหน้าที่ก็รวจหาสารเสพย์ติดกันใหญ่ ตอนนั้นก็แอบกลัวนะนั่น แม้ว่าไม่ได้พกอะไรไป แต่ไม่รู้ว่าร้านที่ขายมันเอาอะไรยัดมารึป่าว คิดไปซะไกลนู้นเลย หลังจากนั่งรอไปไม่นานก็เดินทางไปต่อ ได้งีบบนเครื่องสักประเดี๋ยว ก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกหลายที เพราะว่าใกล้จะถึงจุดหมายปลายทาง ตื่นเต้นน่ะครับ อยากเห็นหน้าตาเกาะใต้ก่อนลงจอดซะเหลือเกิน…อ่า มันขึ้นวันใหม่แล้วนี่หว่า แต่ไม่ได้นอนเป็นเรื่องเป็นราวอย่างที่บอก เลยงงเวลาเล็กน้อยในวันแรก งั้นยกมาโม้ต่อในวันถัดไปเลยนะครับ

Day2 : 14May2011 “Hello New Zealand, Yahoo Christchurch”

    ขณะที่นั่งกินลมชมวิวบนเครื่อง ผัดเปลี่ยนมาเล่นเกมส์บ้างแก้เบื่อ งีบเป็นระยะ สักพักก็ประกาศว่าใกล้จะถึงแล้ว ตอนนั้นไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไรเลย คิดแค่ว่า เราจะมาถึงแล้วหรอว่ะเนี่ย มาไกลเกินกว่าที่คิดไว้เยอะเลย ฝนจะตกมั๊ยว่ะ เมฆเยอะเชียว คิดพลางมองไปที่หน้าต่าง จังหวะที่เครื่องบินเอียงลำเครื่องก็ได้เห็นพื้นสีเขียวชะอุ่มแวบๆ นึกในใจช่วยเอียงเครื่องอีกสักทีได้มั๊ยเนี่ย รอได้ไม่นาน เริ่มทนไม่ไหว เลยตะกุยตัวเองข้ามเพื่อนที่อยู่ติดหน้าต่าง เมิงเกะกะนะ ตรูจะดูวิว

    เขียวชะอุ่มเป็นทุ่งกว้าง มีบ้านหลังเล็กๆล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้าเขียวขจี มีขอบรั้วกั้นกลางระหว่างทุ่งหญ้าด้วยต้นสนสีเขียวเข้มตัดพื้นขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด เห็นสายน้ำเป็นสายยาวใสมาแต่ไกล แนวเขายาวสลับขึ้นลงเป็นคลื่นดินแทรกแซมด้วยทุ่งหญ้าเขียวปนทองไกลสุดลูกหูลูกตา เหลือบมองระดับสายตาเจอเมฆขาวเทายาวลอยละล่องทั่วท้องฟ้า ริ้วเมฆเป็นทิวทางขนานกับสายลม จัดระเบียบกันกลางอากาศอย่างไม่ตั้งใจได้อย่างลงตัว ในบางตำแหน่งจะเห็นแสงแดดแวบเข้ามากระทบกระจกตาเป็นระยะพอให้รู้ว่า ถึงแม้วันนี้มีเมฆมาก แต่ก็พอมีแดดรำไรให้ได้เชยชมบ้าง ในจังหวะช่วงร่อนเครื่องลง สักพักจะเห็น ผืนแผ่นดินยกตัวลอยสูงขึ้น ภาพทุกอย่างที่เห็นค่อยๆชัดขึ้น เริ่มเห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิต เห็นฝูงนกโฉบไปมาถลาอยู่ใต้ท้องเครื่อง รถยนต์คันเล็กๆคืบคลานบนท้องถนนอย่างช้าๆ ปุยนุ่นเล็กๆสีขาวที่แปะอยู่บนทุ่งหญ้า เริ่มเห็นขาปรากฏยื่นออกมาใต้ปุยนุ่นเหล่านั้น แกะตัวน้อยกินหญ้ากันตามท้องทุ่งอย่างขะมักเขม้นประดุจว่า ถ้าไม่รีบกินหญ้าวันนี้พรุ่งนี้หญ้าจะหมดโลกกันเลยเชียว เริ่มตื้นเต้นขึ้นมาแล้วล่ะสิเนี่ย ผมนึกบ่นพรึมพรำกับตัวเองในใจ

    หลังจากที่มาเหยียบพื้นโลกอีกครั้ง อันดับแรกก็ต้องบอกสำรวจพื้นดินซะหน่อย พื้นดินไม่ไหวนะจ๊ะฟังธง ต่อมาจึงก้าวย่างอย่างมั่นคง รอรับกระเป๋า แล้วไปยังจุดตรวจคนเข้าเมือง

Are you a doctor? (ผมพยักหน้า แล้วพูดว่า Yes!)

Oh, too young (ผมยิ้ม แล้วนึกในใจว่า Yes แหงมล่ะ)

Goodbye, nice tripppp! (ผมยิ้มรับ และ Thanks you กลับก่อนเดินออกมาด้วยหน้าแป้นแล้นเวลาถูกเยินยอ)

    พอมาถึงจุดdeclareของในกระเป๋า ตรงตำแหน่งนี้คงต้องเล่าอีกหน่อย เจ้าหน้าที่ถามว่า มีอาหารมามั๊ย ผมตอบอย่างทันควันว่า “เยส, อิส อะ มาม่า” ถึงขั้นลืมตัวไปตัวไปเลยว่า มาม่าคือภาษาไทย เลยโดนเพื่อนๆประนามอย่างหนักตั้งแต่เข้าเมืองกีวี่ในวันแรก ใครจะไปนึกว่า มาม่า ไม่ใช่ภาษาอังกฤษ ก็เขียนข้างซองว่า Mama นี่หว่า เพื่อนบอกว่าเดี๋ยวเขาจะนึกว่า เมิงจะเอา แม่ มาdeclareทำพรื่อ! ตลกดีว่ะ ^^

    ผ่านจุดตรวจสอบทั้งหมด สุดท้ายก็ได้มาม่ามาไว้ในครอบครอง เอาเข้าไปประเทศได้ หยิบแผนที่ที่แจกฟรีอยู่ตรงทางออก แล้วติดต่อรับรถทันที รถที่ผมจองในทริปนี้คือ Nissan sunny สีขาว ว้าวๆๆ หลังตรวจเช็คสภาพรถ และให้สอนวิธีการใช้ snow chain เสร็จ ก็ออกเดินทางเข้าสู่ตัวเมืองchristchurchทันที ที่ต้องใช้snow chain เนื่องจากว่ามีวางแผนว่าจะไปMilford sound ซึ่งอาจจะเจอหิมะ ถ้าไม่มีรถไหลตกถนนแน่ ส่วนผมคิดในใจว่า ถ้าเจอหิมะเยอะ ขับอันตราย ถอยลูกเดียว ไม่มานั่งเล่นสเก็ตบนเขาหรอก

    เท้าแต่คันเร่งปั๊บ ก็เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองปุ๊บ ขับแบบระวังป้ายเตือนมาก ดีที่มีGPSนำทาง ช่วยได้เยอะ พอดีปักหมุดกันมาแล้ว ขณะขับรถชมบ้านเมืองนี้ รู้สึกว่าอยู่กันน่ารักจริงๆ ส่วนใหญ่เป็นบ้านชั้นเดียว อย่างมากก็สองชั้น มีต้นไม้ทั้งหน้าบ้านและในบ้าน  ต้นไม้ส่วนใหญ่ล้วนโชว์ก้านกิ่งกันเต็มที่ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ ใบไม้แห้งปลิวว่อนไปทั่วท้าลมหนาว ทั้งสีแดง สีน้ำตาล สะอาดสะอ้านมากมาย …เริ่มจะชอบนิวซีแลนด์ขึ้นมาจริงๆจังๆซะแล้ว

สวนสาธารณะกับAvon river

บรรยากาศสานสาธารณะกับใบไม้เปลี่ยนสี

    ผมและเพื่อนๆเอาของเข้าที่พัก ในคืนแรกนี้พักที่ Ricarton inn น่าพักน่านอนมาก คุยกับเจ้าของเสร็จสรรพ ก็รีบไปเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศในวันแรกที่สวนสาธารณะของเมืองนี้ ชมแม่น้ำAvonที่ไหลผ่านสวน พร้อมกับชมเป็ดลอยน้ำเล่นใน อ่อ พวกผมทราบมาเพิ่มว่า ในเมืองมีพื้นที่โซนแดง ห้ามเข้าเป็นอันขาด ในส่วนของ Cathedal square นั่นคือ โปรแกรมเที่ยวในเมืองถูกตัดทิ้งทั้งหมด(เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว ถล่มศูนย์กลางการท่องเที่ยวในเมืองนี้สินซากไปเลยทีเดียว)  การเดินเที่ยวในสวนสาธารณะ จึงเป็นที่เดียวที่น่าไป ขับรถวนไปวนมาอีกหลายรอบ สวยจังเมืองนี้ นี่คือเมืองที่ใหญ่และเจริญที่สุดในเกาะใต้ใช่มั๊ยเนี่ย สงบจัง ผมเดินเที่ยวถ่ายรูปเก็บบรรยากาศยามเย็นในวันแรก รู้สึกสงบ สะอาด อากาศเย็นสบายบริสุทธิ์ เดินจนพระอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า(ลาตั้งแต่ห้าโมงเย็น) พวกผมได้บรรยากาศเล็กๆน้อยๆในวันแรกแค่นี้ก็พอใจแล้ว อย่างน้อยครั้งนี้ก็ไม่มีอาการculture shockเหมือนตอนไปเนปาลครั้งก่อน ก็แน่ล่ะ เพราะครั้งนี้มันดูศิวิไลซ์กว่าเยอะ ดีเหมือนกันที่ได้เห็นอะไรเจริญหูเจริญตาแบบนี้บ้าง ไม่เสียใจเลยจริงๆที่พลาดทิเบตกับภูฏาน เพราะนี่ก็เมืองในฝันนี่นา

    อาหารเย็นวันนี้ก็ไปกินร้านอาหารที่นิวซีแลนด์ ร้านlocalของคนที่นี่เลย อาหารรสชาติใช้ได้ ยังไม่เลี่ยนด้วยล่ะวันแรก พนักงานน่ารักมากพูดจาคล่องแคล่ว สวยอีก พวกผมได้ไวน์แดงมากินฟรีแก้วนึง อร่อยดี ชิมจิบๆก่อนซักวันนึงละกัน เสร็จจากกินอาหารเย็นก็ไปshopping อาหารเช้ามากิน เตรียมท้องก่อนออกเดินทางในวันรุ่งขึ้น ได้กีวี่สีทองมากินประเดิมก่อนด้วย อร่อยๆหวานชุ่มคอมากมาย สุขใจจังกับการนอนหลับในดินแดนกีวี่แห่งนี้ นอนให้พร้อมสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ดีกว่า…ZZZ

Day3 : 15May2011 “Castle hill, Franz Josef Glacia”

                ตื่นมากับเช้าวันใหม่ สดชื่นจังเลย อากาศหนาวมากมาย 6โมงเช้าแล้ว ยังมืดสนิท ผมจัดแจงอาบน้ำก่อนตามด้วยพลพรรคที่เหลือ เปิดโทรทัศน์ฟังพยากรณ์อากาศ กินขนมปังกันยามเช้า เอานมมานั่งกินกันสลอนก่อนออกเดินทาง เมื่อท้องพร้อม เก็บของเสร็จ ฟ้าเริ่มมีแสงสลัว ก็ออกเดินทางทันที ในช่วงที่ผมมาday timeสั้นมากครับ เพราะฉะนั้นต้องใช้เวลาที่ฟ้าสว่างให้คุ้มที่สุด ขับโลด เช้าวันนี้ฝนตกด้วยสิ ฟ้าครึ้มตลอดทางเลย

ฟ้าสลัวก่อนออกเดินทาง…ในภาพคือเจ้าเบิ้ม

อยากจอดตรงไหนจอด เพราะเส้นทางนี้เรากำหนดเองแล้ว

                แผนการเดินทางวันนี้จะต้องขับผ่าน Arthur pass ไปแวะชม pancake rock ที่ Paparoa national park แล้วไปนอนที่ Franz Josef จากการคำนวณ และระยะทางแล้วจะต้องทำเวลามาก และแน่นจริงจัง เลยตัดสินใจตัดไป Pancake rock ออก แล้วขับชิลด์ระหว่างทางดีกว่า อีกอย่างยังไม่ชำนาญทางด้วย หลังจากปรับแผนกันใหม่ จึงลัลล้าได้มากขึ้น

วิวระหว่างการเดินทาง

Otira highway

                เมืองแรกที่แวะก็เมือง Springfield หนังสือบอกว่าเป็นเมืองนี้เป็นเมืองสุดท้ายที่มีน้ำมันให้เติม เลยเติมให้เต็มอีกทีเพื่อความมั่นใจ ในการเติมน้ำมันรถที่นี่ต้องเติมเองนะ อารมณ์เด็กปั๊ม สนุกดีครับ ก็ครั้งแรกก็ให้เค้าสอนก่อน ไม่ยากอย่างที่คิดแฮะ แค่กดบีบคันโยกจนมันดังแกร๊ก เป็นอันเสร็จ จำราคาที่เติมแล้วเดินไปบอกเจ้าของร้านว่าเท่าไร แล้วจ่ายไปครับ เติมเสร็จก็ออกเดินทางต่อ ฟ้าก็ยังครึ้มๆทึมๆ ใจไม่ดีเลย จะเห็นวิวสวยๆมั๊ยเนี่ยฟ้าปิดซะขนาดนี้ ระหว่างขับก็เจอภูมิประเทศสองข้างทางค่อยๆเปลี่ยนไป ทางเริ่มคดเคี้ยวมากขึ้น  ขับไปไม่นานก็ไปเจอะ Castle hill กองหินขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา ล้อมรอบด้วยภูเขาสูงใหญ่เป็นฉากหลังให้ ทำให้สวยงามขึ้นเยอะ ถ่ายรูปไปเยอะ ณ ตำแหน่งจุดแวะแรกแห่งนี้ แล้วรีบเดินทางต่อ ยังต้องไปอีกไกล 200กว่ากิโลเมตร ฮุ่ยๆๆ ระหว่างทางสวยมาก สวยมากแบบทนขับต่อไม่ได้ก็จะจอดรถทันที(จอดอย่างปลอดภัยด้วยนะครับ) ออกมาจากรถท้าลมหนาวเป็นระยะ ถ่ายเสร็จก็วิ่งหนีอากาศเย็นขึ้นรถต่อ ดีที่ในรถheaterทำงานดี อุ่นสบายเลยล่ะครับ จุดสังเกตอีกอย่างระหว่างการเดินทางคือ ดูป้ายสีน้ำตาลด้วยนะครับ จะเป็นview point หรือสถานที่ที่น่าไปดู ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงแรมเมื่อคืนบอกว่า เป็นป้ายที่คนท้องถิ่นที่นี่ชอบไปกัน หากมีเวลาก็แวะบ้าง ระหว่างทางพวกผมก็แวะบ้าง ไม่ได้แวะบ้าง เพราะมันมีหลายจุดเหลือเกิน พูดถึงป้ายแล้วแถมเรื่องป้ายความเร็วรถด้วย ที่นี่จะจำกัดความเร็วเมื่อเข้าเมืองทุกครั้ง จะบอกเลยว่า ตำแหน่งนี้ 30, 50 หรือ 80 ถ้าจะขับ 100กม/ชม. ก็ต้องไปขับนอกเมืองเท่านั้น ส่วนตรงทางโค้งเหมือนกันจะแจ้งความเร็วทุกโค้ง โค้งที่อันตรายหักศอกเยอะก็จะให้ขับช้าๆ มีทั้ง 80, 60, 50, 35 ไปจนกระทั่ง 25 กม/ชม. อยากจะบอกว่าประทับใจกับระบบป้ายจราจรที่นี่มาก ชัดเจนจริงๆ ผมชอบ

ฟ้าสว่างระหว่างเดินทาง ณ ถนนลอยฟ้างดงามเหลือเกิน

                ทางที่ผมขับผ่าน Arthur pass นี้ จะขับจากฝั่งตะวันออกไปตะวันตก หรืออีกฝั่งหนึ่งของเกาะนั่นล่ะครับ ส่วนใหญ่ถ้าคนมีเวลาก็จะมานั่งรถไฟผ่านเส้นนี้ด้วย เพราะถือว่าเป็นทางรถไฟที่สวยมาก สวยที่สุดในประเทศ ยืนยันแล้วครับ เพราะขับรถก็สวยมากจริงๆ พอเข้าฝั่งตะวันตกต้นไม้เริ่มหนาตาขึ้น เหมือนเข้าเขตป่า ขับผ่าน Otira highway เค้าบอกว่าเป็นHighway ที่สวยเหมือนขับบนสวรรค์ แต่ตอนขับมาก็ไม่เห็นจะเจอสวรรค์เลย แต่สวยจริงครับ วิวทิวทัศน์สองข้างทาง ทำเอาคนขับรถขี้เซาอย่างผม ตื่นเต้นตลอดทาง ตามองทุกกระจก ทั้งด้านหน้า ข้าง และหลัง สวยทุกมุมมองเลย ชมความงามเพลินจนมาทะลุฝั่งตะวันตก ก็เห็นทะเลแวบหนึ่งตอนโผล่พ้นเขตเขา แล้วเลี้ยวซ้ายลงใต้มาพักกินข้าวที่เมือง Hokitika เมืองนี้เน้นการขายหยกเป็นหลัก แต่พวกผมไม่ซื้อหรอก แพงน่ะครับ แค่มาแวะกินFish&Chips ถ่ายรูปชมเมืองเล็กน้อย แล้วเดินทางกันต่อ เพราะตอนนี้มาถึงครึ่งทางแล้ว ถ้าไปถึงไวจะได้ลัลล้าได้อีก

สามคนกับเงาสามเรา ถ่าย ณ เมืองHokitika

แวะข้างทางเมื่ออยากแวะ

รุ้งสองวงซ้อนกัน ครั้งแรกในชีวิตครับ

                 ในฝั่งตะวันตกนี้มีฝนตกอยู่เป็นช่วงๆ สลับกับแดดจ้า เลยได้พบปะกับสายรุ้งอยู่หลายครั้งหลายครา ครั้งแรกที่เห็นก็ดีใจมาก หลังจากไม่ได้เห็นมานานแสนนาน แต่ขับไปสักพักก็เจออีก สวยโฮก ที่สวยที่สุดแล้วก็ตอนเห็นรุ้งโค้งครบวง แล้วซ้อนกันสองชั้น สวยมากๆๆๆ เกินจะบรรยายเลยล่ะ เคยฟังเพลง Over the rainbow แล้วแบบว่ามันยังไงนะ พอเจอเข้ารู้เลยว่า somewhere over the rainbow ก็คือสวรรค์นั่นล่ะ เส้นทางในช่วงหลังนี้ก็เข้าใกล้เมือง Franz Josef มากขึ้น เลยเริ่มมีการจอดแวะพักถ่ายรูปรายทาง จำได้เลยว่าขณะกำลังขับ แล้วมองไป นึกในใจว่า สวยว่ะ ขับไปอีกก็คิดอีกว่า ทำไมมันสวยอย่างนี้วะ ขับไปอีกเลยพูดว่า สวยไม่ไหวแล้ว ขอจอดถ่ายรูปอีกแล้วกัน บางจุดที่เจอป้ายสีน้ำตาลก็แวะเข้าไปดู สวยจริงดังป้ายเตือนบอก นี่ผ่านมาหลายป้ายไม่ได้แวะแอบเสียดายนะนี่ แต่ต้องทำเวลานี่เนอะ ขับต่อๆ(ป้ายสีน้ำตาลที่ให้แวะเข้าไปไม่ค่อยบอกระยะทางครับ กลัวจะเสียเวลาเกินไปถ้ามันเข้าไปลึกน่ะครับ) ก่อนจะถึงเมืองปลายทาง มีขับผ่านป่าช่วงสุดท้าย ผมเจอนกกีวี่สองสามตัว เล่นกันอยู่ข้างทาง พอผมขับมันเลยวิ่งหายไปเข้าไปในป่า ดีใจมากเลย(ตอนแรกไม่รู้ว่าเป็นนกกีวี่ มานักdiscussถึงรูปร่างหน้าตา เลยรู้ว่า ใช่แล้ว เจอตัวจริงแล้ว) ดีใจๆ น่าเสียดายที่คนอื่นไม่เห็นด้วยกันครับ

แวะเข้ามาตามป้ายสีน้ำตาล สวยแจ่ม

เดินวนชมบรรยากาศ

นั่งชมวิวกับแสงแดดยามบ่าย

                พวกผมมาถึง Franz Josef ก็สี่โมงเย็นแล้ว รีบเข้าที่พัก ซึ่งคืนที่สองนี้พักที่ Montose backpacker เป็นสำหรับพวกสะพายเป้มาเที่ยวนอนกันครับ ห้องพักพวกผมเป็นสี่เตียงนอน แต่โชคดีที่ไม่มี roommate เลยจัดการครอบครองห้องเลยซะนี่ จัดแจงของในห้องเสร็จ สำรวจที่พักมีห้องครัว ห้องนั่งเล่น(คนนั่งกันเยอะมาก ไม่กล้าคุย) และห้องเล่นอินเตอร์เน็ต สำรวจที่ทางเสร็จเวลายังเหลือ ผมเลยโยกตารางเที่ยวของวันถัดไปเข้ามาโปะท้ายของวันนี้แทน ซึ่งแผนการอีกวันนั้นแน่นมาก และมีแนวโน้มไม่ทันสูงมาก แผนการเดิน Franz Josef Glacia ไว้ท้ายตารางสุดของวันนี้ โดยการเดินชมGlacia(ธารน้ำแข็ง) มีหลายเส้นทางมาก ถ้าอยากสัมผัสจังๆคงต้องจ้างไกด์ และใช้เวลาเยอะ พวกผมเลยเลือกเดินกันเอง เดินทั้งสองเส้นทางเลย พลังเยอะจัด โดยไปเส้นทางแรกก่อน ใช้เวลาไป-กลับประมาณ 20นาที ชมวิวเห็นGlaciaระยะไกล แล้วเดินเข้าไปอีกเส้นใช้เวลา 1.20 ชม.เห็นจะได้ ตอนแรกมองนึกว่าใกล้ ยิ่งเดินยิ่งไกล อากาศเริ่มเย็นขึ้น ฟ้ามืดขึ้นอีก ฝนตกปรอยๆ  สุดท้ายก็ไปกันจนสุดถ่ายรูปทันแล้วรับจรลีออกมา ดีที่ยังหนุ่มยังแน่นเลยเดินทำเวลากันไหว แบบว่าจ้ำอ้าวกันมันเลยล่ะ หอบแฮ่กๆบางช่วงด้วยครับ

ถึงแล้ว Frans Josef Glacia

Light blue in the Glacia

               ความงามของGlaciaนี้อธิบายไม่ถูกเลย เพราะไม่เคยเห็นธารน้ำแข็งมาก่อน มันใหญ่ มันอลังการ มองไปใกล้ๆก็เห็นตัวธารน้ำแข็งเป็นสีฟ้าอมขาว โอ้ววววว สวยไม่ไหวทน นี่มาถึงGlaciaแล้วหรอนี่ เร็วกว่าแผนการที่คิดไว้เยอะเลยนะนี่ เสียดายจังที่มืดเร็ว เลยไม่ได้ถอดเสื้อท้าลมหนาวแบบหนูนาในเรื่องกวนมึนโฮเลย ท่องเอาไว้ ไม่เป็นไรพรุ่งนี้ยังมีอีกวัน ^^ เดินทางชมธารน้ำแข็งเสร็จก็กลับมาซื้อของเตรียมทำมาม่าพรุ่งนี้เช้า บังเอิญว่ามีครัวนี่ว่า ทำซะหน่อย แล้วก็ไปกินพิซซ่าเป็นอาหารมื้อเย็น ก่อนจะเข้าที่พัก เตรียมตัวนอนกัน วันนี้ไม่ได้เดินชมเมืองเลย เพราะว่าฝนตกหนักมาก เลยต้องมาซุกตัวในที่พัก เดินลงมาห้องนั่งเล่น พวกbackpackerทั้งหลายก็นั่งดู Lord of the Ring กันอย่างไม่สนใจใคร พวกผมเลยไม่กล้าสร้างสัมพันธไมตรี เดินกลับขึ้นมาบนห้อง แล้วนั่งเล่นFB แจ้งข่าวคราวทางบ้านกันก่อนนอน

                หมดไปอีกวันที่งดงามของดินแดนกีวี่แห่งนี้ ผมมีความสุขจังครับ

to be continue, Let's follow us via Kiwi way

 

By Eun Junso : Let's follow us via Kiwi way @ Southern island, New Zealand [13-22May2011] : part I

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *