13-22 May 2011 : Southern Island, New Zealand (Part 4)

Day8 : 20May2011 “Lake Tekapo, Akaroa”

ทะเลสาบสีฟ้าบริสุทธิ์

                … เช้าวันก่อนวันสุดท้ายก็มาถึง เร็วจังเลยว่ะ ยังไม่ทันได้เที่ยวเลย นี่จะครบสัปดาห์แล้วหรอเนี่ย เพิ่งรู้สึกว่าเพิ่งมาถึงนี่เองนะ  …ฟ้าวันนี้โปร่งมั๊ยเนี่ย ขอให้ฟ้าโปร่งฟ้าเปิดนะครับ ทะเลสาบจะได้สวยๆ ทะเลสาบที่นี่มันมีความพิเศษอยู่อย่าง นั่นคือสีของทะเลสาบเป็นสีฟ้าบริสุทธิ์ยามแสงส่องตกกระทบผืนน้ำ เนื่องจากในน้ำที่นี่จะมีตะกอนหินที่ถูกบดจากเขาบนหิมะแขวนลอยอยู่ แล้วไหลมารวมกันที่แอ่งน้ำนี้ วันที่ฟ้าเปิดแสงส่องถึงก็จะทำให้เกิดการสะท้อนหักเหให้ทะเลสาบแห่งนี้เป็นสีฟ้าบริสุทธิ์ หากวันใดเมฆเยอะ ฟ้าไม่เปิด สีทะเลสาบก็จะขาวเหมือนน้ำนมนั่นเอง แล้วด้วยคำขอร้องขอพรของผมก็เป็นจริง เทวดาเห็นใจคนอย่างผม เลยประทานแดดมาให้…เพียงนิดเดียวในช่วงเช้า แดดหลอมแหลมๆ ทำตรูลุ้นตลอดว่ามันจะสว่างหรือมืด

                อาหารเช้านี้ก็เอามาม่าที่เหลือมาทำลายซะ ไม่ต้องแบกกลับประเทศเรา กินกันเข้าไป เนื่องจากยังคงมีผักอยู่แต่ไม่มีหมอต้มแบบทั่วไปอีกแล้ว เลยเอากาต้มน้ำ(ที่เปิดฝายัดผักไม่ได้)มาต้มให้น้ำเดือน แล้วเอาผักกะหล่ำปลีที่หั่นแล้วใส่ลงในแก้วน้ำโรงแรม ราดน้ำเดือดลงไปให้ทั่ว แล้วนั่งรอ นึกภาพดู มันน่าอนาถใช่น้อย ได้เวลาสักพักก็ต้มน้ำอีกรอบแล้วราดใหม่อีกครั้ง อารมณ์เหมือนลวกผักครั้งที่สอง ลองชิมพอมันสุก เป็นอันโอเค มาม่าเช้านี้กับผักต้มยัดใส่ลงไป อร่อยไม่เบา ใช้เวลากับการทำอาหารเช้าพอสมควร กินเสร็จเก็บของก็ออกเดินทางไปชมวิวทะเลสาบที่ Mt John ดีกว่า มันคงกำลังจะเปิดระหว่างขับรถนี้ Receptionเมื่อวานบอกว่า จะเปิดตอน 8.30 มี café กินบนเขาด้วย รู้แค่นี้ ระยะทางไม่ทราบ แต่มั่นใจว่าทัน ไปโลดดดครับ ผมขับกลับมาย้อนทางเดิมเล็กน้อย พอเจอะป้ายขึ้น Mt John ก็ไปตามป้ายทันที

The Tekapo Lake

The Tekapo Lake

The Tekapo Lake with H'Thee

              ขับได้ไม่นานก็ถึงทางขึ้น แต่ว่าปิดอยู่ บอกว่าเปิดตอน 9.00 ก็พอรอได้ไว้ขับมาใหม่ เลยขับตรงขึ้นไปอีก ชมวิว Tekapo lake จากอีกมุมก็สวยดีครับ ขับไปเอื่อยๆ รอถึงเวลา บริเวณที่ไปถ่ายรูป ฟ้าเปิดชัด แสงส่องพอดี ทะเลสาบเป็นสีฟ้าจริงๆ สีฟ้าสะอาดอยู่ในแอ่งขนาดใหญ่ มีเมฆมาประดับเพดานฟ้าให้สวยงามมากขึ้นไปอีกดีใจจังเลยครับที่ขับรถเวิ่นเว้อมาทางนี้ จากมุมนี้ช่างงดงามจริงๆ พอได้เวลาทางขึ้น Mt John จะเปิดประตู ก็รีบขับกลับไปตำแหน่งเดิม ผมก็นึกอยู่ว่านี่เพิ่งจะเก้าโมงเป๊ะ ไม่นานนี้เอง ไปนั่งหรอแหงมๆ ทันทีที่รถมาถึงทางเข้า ปรากฏว่าประตูที่ล็อคเปิดออก เส้นทางขึ้นเข้าเป็นริ้วยาวคดเคี้ยวไปถึงยอดได้รับการอนุญาตจากเจ้าของแล้ว ผมจึงขับขึ้นไปทันที และคิดในใจว่า ที่นี่เค้าช่างตรงเวลากันจัง รู้สึกอายจังที่ไม่สามารถรักษาเวลาให้ดีได้เท่าบ้านเมืองเค้า บ้านเราอีกสิบนาทีเปิดประตูรึยังก็ไม่รู้ คิดบ่นอยู่ในใจ แล้วก็ขับเลาะขึ้นไปบนเขาอีกครั้ง หลังจากไม่ได้ทรหดรถมานาน บรึ๊นๆๆๆ เลียวไปมาจนถึงยอดของภูเขา Mt John บนนี้เป็นหอดูดาวนี่เอง จะมีนักศึกษามาเรียนที่นี่ด้วย จากตรงนี้มองลงไปจะเห็นที่ราบกว้างใหญ่ มองอีกด้านก็จะเห็นทะเลสาบ และตัวเมือง Tekapo ครับ สวยมากครับ อัศจรรย์ใจจริงๆ ทะเลสาบสีฟ้า กับท้องฟ้าสีฟ้า งดงามจับใจ ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆ พระอาทิตย์ส่องแสงสะท้อนได้แรง ไม่ส่องหลอมแหลมเหมือนตอนก่อนหน้านี้ อยากจะนอนที่นี่ดูทะเลสาบไปเรื่อยๆ อีกสักคืนจัง

Meet the sky here!!!

The Tekapo Lake with Birm

               บนเขานี้เป็นหอดูดาว มีอุปกรณ์อะไรไฮโซมากมายอยู่ข้างใน แด่แค่แอบเดินด้อมมองทะลุเข้าไปในกระจก เผื่อจะเจออะไรแปลกๆ แต่ก็ไม่เจอแฮะ ได้เวลาอิ่มจากภาพมุมบนก็ไปถ่ายทะเลสาบมุมใกล้ๆบ้าง ขับไปเลาะเรียบถนนริมทะเลสาบ นั่งดูเป็ดว่ายน้ำ

Smiling day

behind the scene

beside the church

                หามุมที่ทะเลสาบเป็นสีฟ้ามากที่สุด แล้วก็ปิดท้ายของการชมทะเลสาบที่ Church of the good shepherd มุมนี้ใครมาถึงก็ต้องมาถ่ายครับ เพราะสวยจริง โบสถ์ที่สร้างด้วยการเอาหินมาซ้อนกันเชื่อมต่อด้วยปูน เด่นตระหง่านอยู่ตรงเนินดินริมทะเลสาบ เดินกินลมหนาว ชิมวิวสีฟ้า ทั้งน้ำทั้งท้องฟ้ากันจนหนำใจ ก็เดินทางต่อไปยังเมืองหลวงเกาะใต้กันต่อ ไม่รู้ว่าอาหารมื้อเช้าน้อยไปมะ ทุกคนเริ่มหิวกันตั้งแต่สิบโมงเช้ากันเลยทีเดียว ถ้าเวลาเหลือเยอะนะ จะวนไปกินปลา Salmon ก่อนด้วยซ้ำ งั่มๆ

หมากับหมู

หมากับแกะ

หมา กับเพนกวิน

ทำเท่ห์นะ

มอง เมิน ผ่านฟ้า

                ขับได้ประมาณชั่วโมงหน่อยก็มาถึงเมือง Geraldine หิวได้ที่ และหนังสือทั้งสองเล่มต่างแนะนำว่ามีร้านเบเกอรี่ร้านดังเปิดอยู่ มีอาหารกินด้วย พวกผมจึงมาฝากท้องกันที่นี่แล้วล่ะ หิวไม่ไหวแล้ว อาหารเที่ยงมื้อนี่ ช่างชืดเสียนี่กระไร รสชาติก็ไม่ได้อร่อยมากนะครับ แต่คนก็เข้าตลอด หรือว่าเราลิ้นแย่ว่ะเนี่ย เอาว่ะ ตัดสินกันที่ขนมหวานนี่ล่ะ แจ่มสุด เพราะมันbakeryดังนี่นา เดินไปเลือกแล้วเอามานั่งกิน อืมมมม… ก็ใช้ได้นะ แต่ไม่โดนเท่าไร ไม่สามารถทำให้ผมตะโกนคำว่าสุดยอดได้ ก็เท่านั้นครับ ฮ่าๆๆๆ เอาตัวเองเป็นมาตรฐานมากอะครับ ผมมันลิ้นคนไทยครับ ชอบรสจัด ไม่ชอบเลี่ยน ขนมปังแข็งๆหวานเลี่ยนไม่ผ่านครับ ยังไงก็แล้วแต่ ก็กินจนหมด เพราะเสียดายเงิน แล้วไปแวะธนาคาร West pac เพื่อชำระค่าปรับ แหม่ น่าภูมิใจจริงๆ มาเมืองนอกทั้งทีได้เข้าธนาคารด้วย จะมีใครอิจฉาบ้างมั๊ยเนี่ย

ต่อแถวซื้อของดิน หิวๆๆๆ

อยากถ่ายกับวัวบ้าง

Bakery ry ry ry!

ถูกปรับ ฮือๆ

                เส้นทางเข้าเมืองหลวงวันนี้รถเยอะขึ้นจริงๆครับ เข้าใจเลยว่านี่คือถนนเส้นหลักเพื่อเดินทางลงใต้ มีรถบรรทุกเพิ่มขึ้นถนัดตา ทุกคนขับรถกันสุภาพมาก ไม่ว่าจะเป็นรถประเภทไหน จากถนนสองเลนที่เจอปกติ บางครั้งเป็นสี่เลนสักไม่กี่กิโลเมตรแล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นสองเลนต่อ มีไว้แค่เพื่อแซงรถในบ้างครั้งครับ ช่างน่าตกใจก็ตอนที่เห็นถนนสี่เลนนี่ล่ะ ไม่นึกว่าจะได้เจอ ขับมาสองพันกว่ากิโลเมตรเจอแต่สองเลนจริงๆ ผมก็แซงตรงสองเลนนั้นแหละ ฮ่าๆๆ

ขับออกจากGeraldine ไม่นานผมก็ง่วงอีกแล้ว ให้เบิ้มขับต่อเลย ถึงแม้ว่ามันง่วง แต่แค่น้อยๆ ส่วนผมพอได้นั่งปั๊บก็หลับทันที หัวเอียงสะบัดไปมาตลอดทาง มาตื่นอีกทีกำลังขึ้นเขา อ่า ไอ่เบิ้มเลี้ยวรถบนเขาเหวี่ยงได้ใจมาก เสียงมันควงพวงมาลัยดังพลั่กๆๆๆ ตรูตื่นเลย ฮู้ววววววว…สวยจัง พอตื่นมาก็โวยวาย ตรงนี้สวยๆ ขอถ่ายรูป กระโดดจากรถกันทันทีแล้วลงไปถ่ายรูปกันอีกแล้ว

Going to Akaroa

Akaroa town

                มองจากมุมบนก่อนถึงเมือง Akaroa  สวยชะมัด บริเวณนี้เรียกว่า Bank peninsula ตรงนี้สมัยก่อนเคยเป็นเขตภูเขาไฟมา

ก่อน มีสองลูก ชื่อ Akaroa กับอีกลูกนึงจำชื่อไม่ได้ มันระเบิดแล้วทำให้เกิดเป็นลักษณะภูมิประเทศแบบนี้ คือ เป็นภูเขาสลับซับซ้อน มีแอ่งน้ำเว้าไปมา และติดต่อกับทะเลด้วย มองจากแผนที่จะสังเกตว่ามันหน้าตาแปลกประหลาดมากคับ เหมือนคาบสมุทรกลมๆที่ยื่นออกในทะเล หลังจากที่พื้นที่นี้แปรพสภาพเป็นพื้นดินเมื่อหลายล้านปีก่อน หลังจากนั้นอีกหลายล้านปีถัดมาก็มีการยึดครองของชาวฝรั่งเศส เข้ามาอยู่อาศัยตั้งรกรากที่นี่ ทำให้ปัจจุบัน ลักษณะบ้านเรือนของที่นี่ หรือแม้กระทั่งภาษาที่ใช้ก็ยังเป็นแบบฝรั่งเศสอยู่

DOG exercise area

ณ ตรงนี้คือ สนามเด็ก

สนาม เด็ก เล่น เข้าใจมะ

เจอะตำรวจ

หุ่นวาดคน

                ชมวิวได้สักพักก็ขับเข้าไปลุยกันในตัวเมือง Akaroa กันต่อ ในตัวเมืองสวยงามมาก เป็นบ้านหลังเล็กๆ ติดทะเล สงบ มีเรือจอดเทียบท่า นกสยายแบปีกไปมาอย่างไม่กลัวคน อากาศเย็น ผู้คนเดินกันเรื่อยๆสบาย นักเรียนหลังเลิกเรียนมายืนคุยกัน วัยรุ่นบางคนหลังเลิกงานก็มายืนไถสเก๊ตบอร์ด บ้านที่มีครอบครัวก็พาลูกมาเล่นสนามเด็กเล่น คนสูงอายุเดินจูงสุนัขไปตามทางอย่างเพลิดเพลิน ความรู้สึกตอนนั้นอยากนอนพักที่นี่สักคืนจัง แต่ไม่ได้จองไว้ว่ะ วันนี้ต้องกลับไปที่ Christchurch เสียดายจัง อยากมานั่งชิลด์ๆแถวนี้ นั่งจิบเบียร์ชนไวน์กันริมทะเลสาบ เอนตัวแอ้งแม้งกับบรรยากาศยามเย็น พักตาสักครู่กับเสียงนกร้อง พอถึงเวลาค่ำก็นั่งผิงไฟ พูดคุยกับเพื่อนพี่น้องตามประสาคนสนิทมักคุ้น หลับไปบนโซฟาพร้อมกับผ้านวมผืนโตให้นอนซุกหลบหนาว ตื่นเช้าวันใหม่กับฟ้าใส่ จิบชาฝรั่งเศสพออุ่นคอ แล้วเดินกินบรรยากาศยามเช้าโอ้วววว…แค่คิดก็สุขใจแล้ว แผนการนี้ได้แต่วนอยู่ในฝันอยู่ชั่วขณะ โลกความจริงคือยังเดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศ ความสงบงดงามของเมืองนี้ หลงเสน่ห์เข้าอย่างเต็มเปาเลยล่ะ ใช้เวลากับเมืองนี้จนอิ่มตัวระดับนึง ก็ต้องกล่าวรอกันอย่างกะทันหัน เวลายังคงเดินไป พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า ก่อนจะสิ้นแสงผมจึงรีบขับออกจากเมืองให้พ้นเข้าสูงชัน ดินแดนภูเขาไฟแห่งนี้ให้ได้เร็วสุดก่อนพระอาทิตย์จะตก

Akaroa, ^^

                เส้นทางขากลับมักจะรู้สึกว่าระยะทางสั้นกว่าเดิมเสมอ ไม่นานนักก็ขับรถพ้นช่วงเขาไปได้สบายๆ เร่งความเร็วตามประสาคนแรง แต่ไม่เร็วจนอันตรายนะครับ ขับเร็วได้สักพัก ไม่วายเจอรถตำรวจจอดอยู่ข้างทาง ไม่รู้จะซุ่มอะไร พอผมเห็นจึงชะลอความเร็ว หลังจากนั้นมันก็ขับตามรถผม ไม่รู้มันดักจับความเร็วรึเปล่า สักพักมันก็ขับแซงไป แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะใบสั่งมันตามหลอนมาถึงเมืองไทยได้อีก(ซึ่งตอนนี้ที่ผมกำลังบันทึกการเดินทางนี้ ค่าปรับของการเดินทางวันแรก น่าจะเป็นบริเวณเมือง Hokitika ก็มาถึงแล้ว หลังจากนี้ไม่รู้จะมีอีกมั๊ย ต้องลุ้นที่ Akaroa ที่สุดท้ายล่ะครับ ที่มีการมาดักจับ เสียวจริงวู้ยยย) บ้านเมืองนี้ดูสงบ แต่ทันสมัยมาก ตำรวจที่นี่ก็ปฏิบัติตัวดีด้วยครับ ไม่แหวกกฎ ไม่ฝ่าฝืน ขับรถไม่เร็ว ไม่เหมือนบ้านเราแม้แต่น้อยครับ ใบสั่งที่ปรับเขียนระบุชัดเจน ไม่มีมาเก็บนอกรอบหรือใต้โต๊ะใดๆ ประทับใจครับ ยอมจ่ายเลยด้วย เพราะถ้าถูกปรับไม่จ่าย จะโดนBlacklist จากบริษัทเช่ารถ มาเที่ยวนิวซีแลนด์ครั้งหน้า จะไม่มีรถให้เช่าได้ครับ เพราะเราdiscreditตัวเองไปแล้ว อนาคตผมยังต้องมาอยู่ ยอมจ่ายครับยอม ผมผิดเองไม่เถียง

อีกมุมมอง แห่ง Akaroa

                ฟ้าเริ่มมืด แต่เข้าเขตเมือง ไม่ต้องห่วงเรื่องถนนหนทาง มีไฟตลอดทาง มาหาที่พักขับวนไปมาจนเจอ แล้วขึ้นไปสำรวจห้องนอนทันที Mateคืนนี้เป็นคนแก่ผู้ชาย น่าจะมาอยู่หลายคืนแล้ว เพราะวางของได้เต็มที่มาก แกบอกว่าเป็นคนยุโรป แล้วแกล้งทักผมว่าเป็นคน แอฟริกา ไม่รู้ว่าแกเล่นมุขหรือยังไง ผมรับไม่ทันเลยทำหน้าเจื่อนปนงง แล้วยิ้ม สิ้นสุดร้อยยิ้มผมไม่นานแกก็ออกไปจากห้อง สงสัยจะเสียselfที่เล่นมุขแล้วแป้ก

                มื้อเย็นวันนี้กลับมากินที่ Food court ที่ห้างที่มาเดินกันวันแรก ที่ Riccarton road อาหารที่เปิดขายก็จะเป็นอาหารที่อร่อยของแต่ละประเทศ ประเทศที่ชิงชัยมาขายได้แก ร้านอาหารจีน(ฮ่องกง) ร้านอาหารไทย ร้านอาหารอินเดีย ร้านญี่ปุ่น และร้านอาหารฝรั่ง ดีใจที่อาหารบ้านเรา ดังระดับโลก เลยมีกิน ผมเดินไปสั่งผัดไทยก่อนเลย พอจ่ายตังค์เสร็จก็ได้วัตถุกลมแบนสีดำมาถือ อะไรว่ะเนี่ย ตอนแรกนึกว่ามันคือ บัตรคิวผัดไทยที่รอผัดอยู่ เอาไว้แล้วเวลาผัดเสร็จ สักพักเฮียก็เดินมาแล้วบอกผมว่า รู้จักไอ้นี่มั๊ย ผมบอก ไม่รู้อะ เฮียเลยบอกว่าเคยใช้ที่ไต้หวัน ให้ถือเอาไว้ พออาหารเสร็จมันจะร้องแล้วเราเดินไปเอาอาหารที่สั่ง บางอันก็จะมีขึ้นเลขคิวเอาไว้ ..ผมเข้าใจถูกนิดนึง ผิดอีกนิดนึง สรุปว่าภายหลังเข้าใจเป็นพอ อยู่ไม่รู้เรื่องเลยตรู ไอเบิ้มก็เดินมาหาผมแล้วทำหน้างงๆ พร้อมกับกำวัตถุดำเช่นกัน ผมก็เลยบอกมันอย่างที่อาเฮียบอก มันก็โอเคครับ อาหารเย็นวันนี้อร่อยพอแก้ขัดรสชาติอาหารไทยแท้ไปได้บ้าง กินเสร็จก็ไปเดินซื้อไอศกรีมกิน ครั้งนี้ขอกินดี ไปซื้อ Natural new Zealand มากิน อร่อยเหาะไปเลย ไม่นึกว่าตัวเองจะติดไอศตรีมขาดนี้ครับ ผมกินทุกวันตั้งแต่มาแอ่วแดนกีวี่นี้ สิ่งที่กินรองลงมาก้คือไวน์ครับ กินไปซะครึ่งทริป เริ่มตั้งแต่ Te Anua  แล้วไล้มาทุกวัน วันนี้ก็ด้วย พวกผมเดินหาไวน์แดงกินส่งท้ายอีกครั้ง ครั้งสุดท้ายนี้เลือกเอง ยี่ห้อเขียนว่า Penfold ทำจากออสเตรเลีย  เอามานั่งจิบกันในคืนสุดท้ายของการเดินทาง

                ค่ำคืนสุดท้ายได้เริ่มต้นขึ้น พวกผมเริ่มใช้ชีวิตซ้ำซากครั้งสุดท้ายด้วยการเดิน shopping ของกินครับ เดินดูว่าจะซื้ออะไรมาทำอาหารเช้าวันพรุ่งนี้ เมนูคือข้าวต้มล่ะครับ เพราะข้าวมันเหลือ รู้สึกดีที่ได้มาเดิน super market ด้วยกันสามคน เดินวนไปวนมา ดูนู้นดูนี่ ทุกคนดูเมื่อยล้าหมดแรงกับการเดินทาง ลึกๆคงแอบซึมจากการที่จะต้องลาจากการเดินทางที่แสนพิเศษครั้งนี้ พอได้ของกินเสร็จก็ขับรถกลับที่พัก ไม่ได้ไปต่อที่ไหน เมืองChristchurchในยามนี้ก้ยังไม่ฟื้นคืน ไม่มีแสงสีเสียงให้ไปลัลล้า การกลับโรงแรมจึงไม่ใช่ทางออกที่น่าเบื่อในค่ำคืนนี้ พวกผมกลับมาที่พัก อาบน้ำ

ผีผ้าห่ม

ผีหัวเตียง เวอร์ชั่นการบินไทย

ถ่ายรูปกันแก้เซ็ง สนุกดี ผมถ่ายเวอร์ชั่นผีไปเจ็ดแปดรูป ได้ซี๊ดดดดด อีกทีก่อนกลับ หลังจากทุกคนชำระล้างความเหน็ดเหนื่อยกันเสร็จ ก็ลงมากันในครัวมาหั่นผักเตรียมอาหารพรุ่งนี้เช้า ไวน์แดงก็เปิดออกเพื่อเฉลิมฉลองความสุขกันอีกครั้ง ยืนชิมนั่งชิม กินกันโม้กันเรื่อยเปื่อยแบบไม่ต้องมองนาฬิกา มึนเล็กน้อยกับไวน์ รู้สึกว่าหน้าร้อนฉ่าอีกครั้งกับไวน์รสเลิศ เลิศที่สุดตั้งแต่กินมา รู้งี้เลือกเองตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง เวิ่นเว้อกันจนจะเที่ยงคืนก็เข้านอนกัน โดยวางแผนกันไว้ว่า พรุ่งนี้จะไปเมือง Lytleton กัน เพราะว่าในเมืองไม่มีอะไรให้ทำ

จิบไวน์อำลาคืนสุดท้ายยยยย

                ลาก่อนคืนสุดท้ายที่นิวซีแลนด์ แดนเมฆขาวยาวของผม มีความสุขกับชีวิตอิสระในคืนสุดท้ายกับเพื่อนและพี่ที่รู้ใจ ปิดตาลงอย่างสงบ อากาศอุ่นๆในห้อง ฝันดีครับ

Day9 : 21May2011 “See ya, CHC”

                วันสุดท้ายก็มาถึงในที่สุด เช้านี้ตื่นมาด้วยความหดหู่เล็กน้อย นี่ต้องกลับแล้วหรอเนี่ย เฮ้อ… ลงไปทำข้าวต้มกันก่อน ของที่เตรียมไว้เมื่อคืนก็จัดแจงใส่เข้าไป แครอท กะหล่ำปลี หมูสับกระเทียม มีอะไรเหลือใส่ไปให้หมด แล้วกินเข้าไป อร่อยมากกับอาหารมื้อเช้าร้อนๆกับอากาศเย็นๆ

ข้าวต้ม

หลังhostel

เมืองLytleton

                แผนการเดินทางเช้านี้ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง จากแผนการประมาณหนึ่งชม.น่าจะถึง Lytleton มุ่งหน้าออกเดินทางทันที ขับไปเพียงสิบนาทีได้ อ่าวถึงแล้วหรอเนี่ย ขับหลงงงทาง เมืองนี้เป็นเมืองท่าครับ เป็นเมืองที่เผ่าเมารีอาศัยดั้งเดิมกันที่นี่ แต่ก็ไม่ได้ผิแตกต่างจากเมืองอื่น ทุกอย่างดูเหมือนกับเมืองที่เคยผ่านมา มีสิ่งหนึ่งที่ที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นคือ ที่นี่โดนแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวเช่นกัน ตึกรามบ้านช่องเละ ทะลายลงมาเป็นแถบๆ ถนนยกตัวเหลื่อมกันเล็กน้อย พวกผมก็พิเรนขับเข้าไปในที่ที่มีป้ายห้ามเข้า สุดท้ายก็ดูเหมือนจะไม่ปลอดภัยเลยขับออกมากัน ตามทางเสารั้วลอยมั่วค้างกับอากาศ พวกผมพูดกันน้อยลง เพราะอึ้งเล็กน้อยกับสภาพหลังแผ่นดินไหว

Quaked House

วนรถได้ไม่นานก็ขับออกมาจากเมืองกลับสู่ Christchurch กันต่อ เข้ามารขับรถในเมือง มองหาCathedral square ผ่านรั้วมุ้งลวดที่กั้นเขตไว้ ยังคงมีเสียงเครื่องจักกจัดการซากปรักหักพังต่างๆ ดังตึงตังตลอดเวลา ขับรถไปมาอย่างไร้จุดหมาย และมาหยุดอยู่ที่เดิมที่เคยมา นั่นคือ สวนสาธารณะ พวกผมเดินค่าเวลา ชมวิว ดูความสงบ อำลาบ้านเมืองนี้ด้วยความสุขอิ่มเอมอีกครั้ง

Chill out on the last day

Still Peace

Still Beautiful

                อาหารมื้อเที่ยงมาถึงก็ยังไปอำลากันที่ Food court ที่กินกันเมื่อคืน กินไอศกรีมส่งท้ายอีกครั้งนึง แล้วออกเดินทางไปคืนรถที่สนามบินครับ

                ทุกอย่างพร้อม รถไม่มีปัญหา ก็เข้าสนามบินเตรียมตัวบินลัดฟ้ากลับมาบ้านเกิดเมืองนอนของเรากัน

ไอศครีมอร่อยจัง

หนังสือเดินทางกับตั๋วเดินทาง

                ต้องบอกว่าวันนี้เป็นวันที่ผมอยากเขียนถึงให้น้อยที่สุด เพราะมันเป็นอารมณ์ที่ทุกคน ต่างก็รู้สึกว่ามันเร็วมาก มันไม่ทันตั้งตัว เมื่ออยู่ดีๆวันที่ต้องเดินทางกลับก็มาถึง หลายภาพที่พยายามยิ้มและบ้า เพื่อให้ไม่ต้องรู้สึกถึงการสูญเสียอิสรภาพที่กำลังจะมาถึง ทุกคนต่งารู้ว่าเมื่อได้มาเที่ยวก็คือการได้มาชาร์ตพลัง โดยเน้นพลังใจเป็นหลัก มันเต็มแล้วล่ะครับ ณ เวลานั้น และเข้าใจว่าทุกคนก็เผื่อใจที่จะต้อง depress ไว้แล้วด้วย ในโลกของความจริงมันเริ่มต้นตั้งแต่มาเดินทางนั่นล่ะ แค่ความจริงตอนที่เดินทางมาถึงที่นี่ มันเป็นความจริงที่ได้วาดฝัน ว่าจะได้ท่องเที่ยวแบบอิสระเสรี และเมื่อความจริงที่ฝันไว้มันสิ้นสุด ความจริงที่จริงจังก็กลับมาหาพวกผม เตือนให้รู้ว่า เมื่อชาร์ตเต็มก็กลับมาทำงานซะนะ

Sad person

So sad

                ขึ้นเครื่องครั้งนี้ก็ยังไปนั่งเล่นบนเครื่องบ๊องกันนตามเคย ไม่วายตีหน้าเศร้าถ่ายรูป ให้มันซี๊ดส่งท้ายกันอีกที ถ่ายออกมาภาพดูFake ดี  ชอบในความFakeของภาพนี่ล่ะ มันดูมีชีวิตดี และในที่สุดความซี๊ดของผมก็ส่งไปถึงเบิ้มและอาเฮีย ภาพซีรี่หมอนหนุนปํญญาอ่อนก็กำเนิดขึ้น ซี๊ดกันรอบสอง บนเครื่องบิน โชคดีจริงที่แอร์ไม่ไล่พวกผมลงไปจากเครื่อง ถ้ามันไล่จะตะโกนใส่เลยว่า "ผมไม่ได้บ้านะครับ ผมเป็นเจ้าชายนะ คุณไม่มีสิทธิ์มาทำกับผมแบบนี้"  ฮ่าๆๆ เว้อกันสามคนกลบเกลื่อนความเศร้าได้ชั่วขณะ นั่งได้สัีกพัก ต่างก็นั่งดูหนังฟังเพลง พักผ่อนกันตามอัธยาศัย transitที่Sydney อีก 2 ชม. ก็ไปเดินวนกันในสนามบินออสเตรเลีย ว่่างจริงจังนะนี่ เริ่มทำใจได้แล้วล่ะ พร้อมกลับเมืองไทยแล้วครับ คิดถึงอาหารไทยจัง อยากกินก๋วยเตี๋ยวแล้วง่ะ อยากกินแกงส้มแล้วด้วย เอาว่ะกลับไปสู้กับงาน ตั้งใจร่ำเรียนต่อ สู้โว้ยยยยยยย

ว่างที่Sydney

2ชม.ที่ว่างมายืนถ่ายรองทีนกัน

               จิบไวน์แดงฝรั่งเศสบนเครื่องก่อนนอนขากลับ แล้วหลับไปกับรอยยิ้มที่รู้สึกได้จากมุมปากของตัวเอง

               ลาก่อนนะการท่องเที่ยวอันน่าจดจำ ความสุข ความทรงจำ ที่ไม่มีวันสิ้นสุด แล้วผมจะกลับมาอีกนะ นิวซีแลนด์

ตะวันลับ บินกลับรัง

Day10 : 22May2011 “Miss you already, New Zealand”

               หมู่เมฆยาว พราวสายรุ้ง คลุ้งกลิ่นไวน์

จากไปอย่างชื่นใจ

              เช้าอีกวันหลังจากเผชิญกับโลกความจริง กลับมาถึงเมืองไทยแล้วววว คิดถึงนิวซีแลนด์จัง แวปแรกที่ลุกขึ้นมากก็นึกถึง เมฆขาวยาวววววว รุ้งที่เห็นกันรายวัน และไวน์ที่กินกันแทนน้ำ สิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นที่นิวซีแลนด์ แดนกีวี่ที่พวกผมเพิ่งจากกันมา สมองเริ่มทำงานแบบไม่ตั้งใจอีกครั้ง ภาพท้องฟ้า แม่น้ำ ภูเขา ทะเลสาบวนเข้ามาตลอด Flash ลงบนสมองอยู่เป็นจังหวะๆ มองเห็นคนเดินShopping ซื้อของกันในตลาดก็นึกคิดถึงวันที่ไปเดินหาของกินกันในSuper market พอได้กลับมาขับรถก็อดนึกถึงตอนเหยียบคันเร่งทำเวลาตอนอยู่ที่นู้นไม่ได้ แค่กลับมาไม่ถึงวันก็คิดถึงจนจะบ้าแล้ว อยากกลับไปอีก อย่าหาว่าผมบ้าเลยนะครับ เชื่อว่าไม่ว่าใครที่ได้เที่ยว หลังกลับจากเที่ยวต้อง depress กันทุกคน ไม่มากก็น้อยล่ะครับ

             วันนี้ก็เดินทางกลับหาดใหญ่แล้วครับ เฮ้อ ไวจัง สวัสดีหาดใหญ่ กลับมาแล้วครับ มาทำงานอย่างเคย จะตั้งใจเรียนแล้วนะครับ

มองไปให้หวนคิดถึง

             หมดจากทริปนี้ก็ยังไม่รู้จะมีโอกาสได้เที่ยวแบบนี้อีกเมื่อไร หากมีโอกาสได้ท่องโลกกว้างอีก คงสะพายเป้ตะลอนอีกครั้ง ยังติดค้างมากมายทั้ง ทิเบต ภูฏาน ญี่ปุ่น ได้จังหวะพอดีอันไหนก็ลุยแล้วกัน ส่วนนิวซีแลนด์ก็ต้องกลับไปแวะเวียนแน่นอนอย่างที่บอกไว้นะครับ ก่อนจะเที่ยวเหนืออื่นใด ต้องเก็บเงินก่อนล่ะ ตอนนี้กำลังเป้นหนี้เป็นสินอยู่ T-T เพื่อเวลาพร้อม เงินพร้อม ก็ลุยได้ทันที คนพร้อมเสมอนะครับ ฮิ้วววววววว "Miss you already, New Zealand"

ไว้มาซี๊ดดดดด กันสุดๆอีกคร๊าบบบบ

Let's follow us via Kiwi way NEXT TIME

By Eun Junso : Let's follow us via Kiwi way @ Southern island, New Zealand [13-22May2011] : part IV

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *