27 Jul – 5 Aug 12 : Tibet – The Rooftop of the World (Part 1)

กลับมาย้อนลุย blog Tibet ให้สมบูรณ์สักที เนื่องจากเวลาผ่านไปค่อนข้างนานและความทรงจำในรายละเอียดคงเหลืออยู่น้อยนิด จึงขอยกบทความของน้องชายข้าพเจ้าที่เขียนไว้ใน Facebook Note ด้วยความสมบูรณ์และความสดใหม่ระดับ 9.9/10 มาลงไว้ให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ ใครสนใจในรายละเอียดการท่องเที่ยวหรืออยากพูดคุยกันสามารถ comment ทิ้งไว้ในนี้ หรือเข้าไปในเพจของน้องชายข้าพเจ้า Eun Junso ได้ครับ

ขอให้เพลิดเพลินกับการอ่าน 
ขอพลังการเที่ยวหลังชนฝาจงสถิตในตัวท่าน (แม้จะไม่มีตังค์แล้วก็ตาม)

ธีรเดช


 

               หันมากระแทกแป้นพิมพ์อีกครั้ง ห่างหายการเพ้อเจ้อมานานแสนนาน จะว่าไปทุกครั้งที่หายไปก็จะมาบ่นแบบนี้ทุกครั้งน่ะครับ จริงๆอยากมาเล่าเรื่องราวความเป็นไปตอนไปฝึกงานที่ United Kingdom ณ เมือง Colchester ด้วยล่ะครับ แต่เนื่องด้วยมันเป็นการเดินทางที่ยาวนานและแสนไกลมากเลยต้องแขวนขึ้นหิ้งเอาไว้ก่อน จนจะลืมหมดแล้วว่าไปไหนมาบ้าง

                ครั้งนี้กลับมาด้วยความอยากเขียนอีกครั้ง ขอกระโดดข้ามมาเล่าชีวิตบนหลังคาโลกก่อนดีกว่า ของกำลังร้อนเลย ไม่รู้จะเริ่มเล่าถึงดินแดนนี้ยังไงดี เพราะปัญหามันมากมายจริงๆ และไม่แน่ว่าการเดินทางไปทิเบตครั้งนี้ อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายชีวิตของผมก็เป็นไปได้

ภาพแรกที่เปิดจากในgoogle แล้วผักดันให้ผมไปเหยียบที่หลังคาโลกครับ สี่ถึงห้าปีที่แล้วครับ

                แรงบันดาลใจก่อนจะไปถึงดินแดนทิเบตนั้นจำไม่ได้ว่าอยากไปมากเมื่อไร เท่าที่นึกออกคือมีรุ่นน้องไปเที่ยว     แชงกริลา-ตาลี่-ลี่เจียง(น้องสุ่น,กัน,เดียร์,นิกส์ พี่ขออ้างชื่อแล้วกัน เพราะน้องทำให้พี่อิจฉาและอยากไป) และมีไปชุมชนทิเบตอะไรนี่ล่ะ ทำให้รู้สึกว่า วันนึงต้องไปเหยียบทิเบตให้ได้ และต้องไปให้ได้มากกว่าแค่ชุมชนหรือเมืองทิเบตจำลอง หลังจากนั้นก็เริ่มเดินดูหนังสือท่องเที่ยวต่างๆมากมาย จนมีโอกาสไปคว้าหนังสือมาได้เล่มหนึ่ง ชื่อ “แบกเป้ขึ้นรถไฟ…ไปหลังคาโลก” (เขียนโดย คุณกาญจนา หงษ์ทอง) ทำให้รู้สึกอยากไปทิเบตมากขึ้น หากใครที่เคยได้ลองหยิบผลงานของผู้หญิงคนนี้มาอ่าน จะได้อรรถรสของความฟุ้มเฟ้อถ้อยคำร่ายรำพรรณนาโวหารมากมาย จนเนื้อหาจริงๆของทิเบตมีเพียงหนึ่งในสี่ของเล่ม ที่เหลือคือโวหารของเธอทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรก็ตาม จริตการใช้ภาษาของผู้หญิงคนนี้ก็ได้ ทำให้ผมเห็นภาพที่ไม่ต้องวาด ความรู้สึกที่ไม่ต้องสัมผัส ลอยออกมาจากกระดาษ จะว่าเว่อร์ก็เป็นไปได้(ไม่งั้นคงไม่อ่านหนังสือของคุณกาญจนาหรอก อีกอย่าง ถ้อยคำที่ผมใช้จะบอกว่าไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเธอเสียด้วยซ้ำ ผมอินน์จนอ่านจบไปสองรอบอย่างรวดเร็ว) แต่ตอนนั้นรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และชื่นชมในการใช้ภาษาของเธอมาก ยังไงก็ขอบคุณมากจริงๆครับคุณกาญจนา ที่ช่วยเป็นผู้แต่งเติมประกายความฝันของผมให้ปะทุชัดเจนมากยิ่งขึ้น

หนังสือเล่มนี้เองครับ ที่ผลักดันผมอย่างแรงให้ไปทิเบต …ตอนที่ไปเนปาล ตอนนั้นก็อ่านหนังสือของนาธานครับ ตอนนั้นไม่รู้ว่าโดนหลอก ถึงโดนหลอกก็ไม่สน อะไรที่inspireผมได้ สิ่งนั้นมีค่าเสมอครับ ขอบคุณครับคุณกาญนา หงษ์ทอง

                หลังจากมีเป้าหมาย ก็มาดูแผนการดำเนินงานของผม  …เมื่อหนึ่งปีก่อน ก่อนที่ผมจะตัดสินใจไปเที่ยวประเทศนิวซีแลนด์นั้น ผมได้วางแผนจะไปเที่ยวทิเบตมาอยู่ก่อนแล้วครับ หาข้อมูล ติดต่อทัวร์เรียบร้อย แต่ในที่สุดทางทิเบตก็ประกาศปิดประเทศซะงั้น ทำให้ฝันในการเดินทางไปทิเบตล่มสลาย และแม้ว่าจะมาประกาศย้อนหลังว่าเปิดประเทศแล้วหลังจากที่ผมจองตั๋วไปนิวซีแลนด์แล้ว ยิ่งตอกย้ำความเจ็บใจเข้าไปใหญ่ โครงการสำรวจหลังคาโลกจึงต้องพับเก็บไปโดยปริยาย มาปีนี้ ผมก็กางปฏิทินหาวันที่น่าจะไปได้มากที่สุดอีกครั้ง และคลี่โครงการท่องหลังคาโลกใหม่อีกครั้ง รวบรวมกองทัพสมาชิกได้สี่ชีวิต เตรียมบุกหลังคาโลก เนื่องด้วยบ้านเมืองนี้มีกฎว่าจะเที่ยวทิเบตได้อย่างปลอดภัยนั้น จำต้องมีไกด์นำเที่ยว การท่องเที่ยวแบบสะพายเป้ของผมสั่นคลอนเล็กน้อย แต่ก็ยังยืนยันที่จะไปให้ได้ ทัวร์ก็ทัวร์วะ ผมจึงทำหน้าที่หลักในการหาทัวร์ที่เที่ยวแบบที่ผมต้องการและราคาถูกที่สุด หลังจากติดต่อไปสิบกว่าบริษัทล้วนก็ตอบกลับมาทั้งหมด พร้อมทั้งราคาทัวร์ ผมนำข้อมูลเที่ยวของทุกทัวร์มายำรวมกัน ใครว่าอะไรดีเอามาใส่ให้หมด และติดต่อกลับไปยังทัวร์ที่ให้ราคาถูกที่สุด หลังจากนั้นการติดต่อทัวร์ระยะยาวก็เริ่มขึ้น และแผนการชัดเจนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์แล้วว่า เราจะได้ไปกัน!

แผนที่ที่เปิดกางไว้เมื่อปีที่แล้ว

                ด้วยความที่ประเทศทิเบต ยังมีปัญหากับประเทศผู้ยึดครอง นั่นก็คือ ประเทศจีน ทำให้เกิดการประท้วงอยู่เรื่อยๆและล่าสุดก่อนผมไปสามสัปดาห์ มีพระลามะเผาตัวเอง ทำให้ประเทศเปลี่ยนกฎกะทันหัน จำกัดคนเข้าประเทศ และต้องเข้ามาเป็นกลุ่ม อย่างน้อยห้าคน สัญชาติเดียวกัน เข้าและออกประเทศพร้อมๆกัน และทางทัวร์ก็ไม่ยืนยันด้วยว่าจะสามารถติดต่อให้พวกผมเขาทิเบตได้หรือไม่(เรียกว่า Tibet permit ครับ) ซึ่งพวกผม จองตั๋วไปจีนแล้ว โอนเงินไปแล้วบางส่วน ปัญหาอยู่ที่ว่าจะหาสมาชิกอีกคนจากไหน ทำให้พวกผมสี่คนเครียดไปตามๆกัน ตื่นตัวกันหาคนเพิ่ม ทั้งโทรหาคนที่น่าจะไปได้ postลงboardพันธ์ทิพย์และfacebook สุดท้ายก็ไม่มีใครตอบรับ จนท้ายสุดก็ได้อีกคนมาปิดท้ายให้ครบห้า การดำเนินการวีซ่าอย่างเร่งด่วนจึงเริ่มขึ้น ติดต่อทัวร์ซ้ำ หาข้อมูลใหม่ ลุ้นกันในช่วงสามสัปดาห์นี้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นตั๋วอะไร ทั้งรถไฟ เครื่องบิน ในจีน ยังไม่ได้ทั้งนั้น จนในที่สุดทุกอย่างลงตัวเพียงสองวันก่อนออกเดินทาง ความพร้อมในการจัดของรวมไปจนถึงการเตรียมเสบียงอาหารครั้งนี้ไม่สามารถทำได้ครบครันเหมือนทุกๆครั้ง จัดกระเป๋าทันดีแค่ไหนแล้ว จากครั้งนี้จึงทำให้รู้สึกว่า เข้าทิเบตยากขนาดนี้ ลุ้นจนไม่ต้องทำอะไรแบบนี้ คิดว่าหากครั้งนี้ไม่ได้ไป คงปิดตำราหลังคาโลกไปเลยทีเดียว ไม่เอาแล้วเข็ดจริงๆ

                ต้องขอบคุณผู้ร่วมเดินทางมากมายที่ช่วยกันฟันฝ่าวิกฤตทุกอย่างมาด้วยกัน ตั้งแต่ก่อนไป ขั้นตอนการติดต่อทัวร์ โอนเงิน วางแผน จัดแจงกันติดต่อ ใครว่างก็มาช่วย จนสามารถ”ดิ้นรน”ไปถึงจนได้ หากไม่ได้ความมุ่งมั่นของเพื่อนๆพี่ๆ ป่านนี้ผมคงไปเดินปลูกผักที่จิวจ้ายโกวเป็นแน่แท้ เพราะพูดตรงๆว่า มันหมดแรงมากๆกับทิเบต  จนคิดกับตัวเองว่า อะไรกันนักกันหนาประเทศนี้ ถ้าเรื่องมากก็ไม่ไปก็ได้ นี่ถ้าไม่ติดว่าจองตั่วไปลงที่เฉิงตูไปแล้วล่ะก็ คงเบนเข็มไปนานแล้ว ฮ่วย! บ่นอีกที กลับมาขอบคุณอีกครั้งในช่วงเดินทางกันไป ทุกคนเหนื่อย อึกอัด มีขัดแย้งกันบ้าง ก็เรียนรู้กันไป การเที่ยวเป็นกลุ่มก็อย่างนี้ เราต้องไปด้วยกัน ตัดสินใจร่วมกัน ไม่ใช่ว่าใครคนใดคนหนึ่งจะกำหนด และทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นแผนการ กำหนดการ อาหาร รวมไปถึงอารมณ์ของคน

                ยังไม่ได้สาธยายอะไรมากเกี่ยวกับทิเบต เพระมัวแต่เกริ่นอยู่นี่ล่ะ ไปลุยพร้อมกันเลยครับ ว่าเจ้าชายเจออะไรมาบ้าง

Day1(27/7/2555) : บินเฉิงตูประตูสู่ทิเบต

                 วันนี้เราเริ่มออกเดินทางจากเมืองไทยครับ หลังจากที่สมาชิกครบพร้อมหน้าพร้อมตาห้าคน ก็กินข้าว และเช็คอินกันไป ตามธรรมเนียมก็ต้องแนะนำตัวกันก่อนว่าใครไปกันบ้างในทริปนี้  คนแรกก็ผมครับ ชื่อเต้ ไม่เคยได้รับตำแหน่งหัวหน้ากลุ่มแต่อย่างใด เพียงแค่สถาปนาตัวเองขึ้นมาว่าเป็นผู้นำกองทัพครั้งนี้ บุกทิเบต ฮิ้วววว, คนที่สองก็ เบิ้ม เพื่อนสนิท คิดไม่ซื่อของผม ขอมอบตำแหน่งหิวตลอดเวลาไว้กับมันไปเลย เพราะทั้งทริปบางครั้งก็เข้าใจว่าป่วยจากภาวะAltitude sickness แต่พอมันได้กิน มันหายเองเกือบทุกครั้ง ป่วยนิ,

สมาชิกนักกิน ไอ่เบิ้ม

เฮียธีร์ หน่วยตรวจสอบ

คนที่สาม เฮียธีร์ หน่วยตรวจสอบข้อมูล “เชิญเช็คเลยครับ เตือนด้วยครับ” ของไม่หาย เงินไม่ขาดแน่, คนที่สี่ พี่เจ สาวนักtwitของทริป พยายามหาทางยังไงก็ได้ ขอได้ลงมือระบายอารมณ์กับtwit และงานของเจ๊คือโพสต์ภาพฆ่าเพื่อนๆ เพราะอดอยากการท่องเที่ยวมานาน นอกจากนี้พี่เจยังเป็นผู้ที่กุมชะตาของกินไว้ เพราะเป็นคนเดียวที่หอบอาหารมาในทริป และสุดท้ายที่มาช่วยทำให้ทริปนี้เรายังไปต่อกันได้ พี่แป๊ป เป็นตากล้องประจำทริป ซึ่งทุกคนกำลังตั้งหน้าตั้งตาคอยดูรูป นับว่าเป็นคู่แข่งคนสำคัญในการถ่ายรูปของผม ฮ่าๆ จะบอกว่าพี่เค้ากินเก่งมาก และลองได้ทุกอย่าง พลาดอย่างเดียวคือ ควบคุมลำไส้ไมได้ ห้องน้ำจึงเป็นสถานที่ที่พี่ชอบไปsurveyให้คนอื่นมากที่สุด

พี่แป๊บ ตากล้องของเราครับ

พี่เจหญิงเดี่ยวคนเดียวของทริป "ชั้นอยากจะทวิตรัวๆๆ" นี่คือประโยคเด็ดของพี่เจ

                ในการเดินทางเข้าทิเบตไม่มีบินตรงจากต่างประเทศครับ ต้องมาลงสักเมืองในจีน พวกผมจึงเลือกเมืองที่เดินทางน่าจะสะดวกที่สุด และเจริญพอสมควรเพื่อการปรับตัว บางคนเริ่มเดินทางจากซีอาน ไม่ก็ซีหนิง แล้วแต่จะชอบเลยครับ ส่วนในที่เฉิงตูก็ไม่มีอะไรมากนัก วันนั้นฝนตกหนัก รถติด เมืองดูอึดอัด อาหารไม่อร่อย คนพูดภาษาอังกฤษได้น้อยมาก และเจอคนจีนแผ่นดินใหญ่ที่แสนไร้มารยาท ทำเอาผมเกิดอาการCulture shock เล็กน้อย มึนกันไปเลยทีเดียว ไม่อยากพูดถึงคนประเทศนี้จริงๆ ทำเอาประสาทเสียได้ง่ายๆเลยละครับ               

ในตามแผนการวันพรุ่งนี้จะต้องนั่งเครื่องไปลาซาครับ หลังจากพวกผมไปจัดการเคลียร์เงินที่บริษัททัวร์เรียบร้อย เดินสำรวจเฉิงตูคร่าวๆ ก็กินAcetazolamide หรือที่เรียกว่าทั่วไปว่า Diamox ก่อนนอน เพราะว่าประเทศทิเบตเป็นที่ราบสูงที่สูงที่สุดในโลก จึงได้รับการยกให้เป็นหลังคาโลก ด้วยความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ 4600 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล คงงงว่ามันสูงแค่ไหน เทียบง่ายๆว่าดอยอินทนนท์ที่ว่าสูงสุดในไทย มีความสูงเพียงแค่ 2565 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นความสูงที่ระดับ 4600 เมตรนั้น ไม่ธรรมดาแน่นอน ใครไปทิเบตแล้วร่างกายไม่พร้อม ก็ได้นอนเล่นบนเตียงเฝ้าของในโรงแรม บ้างก็เป็นหนักจนต้องหิ้วขึ้นเครื่องเพื่อมาอยู่ที่ระดับความสูงปกติที่ร่างกายรับได้ พวกผมเลยกินยาป้องกันกันไปก่อน ซึ่งตามจริงก็ไม่รู้ว่าจะมีอาการรึเปล่าหรืออย่างไร เพื่อการท่องเที่ยวและทุกคนต้องรอด งั้นกินยากันซะ ใครอยากรู้การกินยา ยามีผลอะไร หรือว่าจะเตรียมตัวอย่างไรหากจะไปที่สูงๆแบบนี้ ไว้ถามนอกรอบนะครับ หรือจะหาข้อมูลในinternetได้ครับ แหล่งข้อมูลเดียวกันครับ

                นอนให้เร็ว หลับให้สบาย เตรียมร่างกายให้พร้อม เครื่องบินออกตั้งแต่หกโมงครึ่งแน่ะ ต้องตื่นตีสี่ นอนดีกว่าครับ ในคืนแรกก็ไม่ได้จินตนาการอะไรถึงลาซาเมืองหลวงแห่งหลังคาโลก มีแค่ภาพคร่าวๆในหัวว่า เดี๋ยวนี้ทิเบตเจริญไปมาก สิ่งก่อสร้างเยอะขึ้น ความเจริญกำลังมาพลิกโฉมศรัทธาชาวทิเบต และคนทิเบตกำลังกลายเป็นเจ้าถิ่นที่ไร้สิทธิ์ในบ้านเกิดของตัวเอง นั่นคือข้อมูลที่ผมรู้มา พยายามมองให้แย่ ไม่คาดหวัง แค่อยากจะเห็นทิเบตสวยงามอย่างที่ทิเบตเป็น

จตุรัสโปตาลา กลางคืนมีน้ำพุโชว์ด้วย

Day2(28/7/2555) : Lhasa Drama

                ตื่นมาด้วยความงวยงง นี่เช้าแล้วหรอเนี่ย ผมรีบจัดแจงภารกิจกันทันที พร้อมทั้งโทรปลุกอีกห้อง หวังว่าเราจะเดินทางกันทัน และแล้วปัญหาเริ่มแต่เช้าเมื่อพนักงานพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วใครจะตามtaxiให้ตรูไปสนามบินล่ะเนี่ย ถึงขึ้นต้องขุดภาษาจีนที่เคยเรียนมาใช้แบบไม่ทันเคาะสนิม “หว่อเหย้าชวี้เฟยจีฉั่ง” สดๆกันตรงนั้น โชคดีที่หน้าผมทำให้สำเนียงจีนฟังดูชัดขึ้นมาบ้าง มันก็ตามรถมาให้ครับ แต่รถtaxiก็พูดไม่ได้อีกเช่นกัน จะคุยอะไรยังไง ก็ลำบาก เพราะมันบ่นภาษาจีนออกมา จนผมต้องหาพนักงานอีกโรงแรมมาช่วย แล้วบอกมันว่า “เมิงไปส่งกรูที แล้วราคาตามนั้นแหละ” ฮ่วย! หงุดหงิด หน้ากรูเหมือนคนจีนตรงไหน พูดกับกรูอยู่ได้ บอกว่ากรูคนไทย “หว่อสื้อไท่กั๋ว” แม่งก็พูดจีนใส่อยู่ได้ อยากโบกกะโหลกสักที ขนาดนั่งtaxiคนขับยังพยายามอีกนิดหน่อยที่จะพูดจีน อยากจะพูดกับมันว่า “หยุดเถอะ ไอฟาย กรูฟังเมิงไม่ออก มีหน้าที่ขับก็ขับไป แล้วส่งให้ถึงที่” สุดท้ายมันก็มาปล่อยถึงที่ แค่ผิดterminalเอง กรูจะบ้าตาย โชคดีนะที่มีShuttle car ขนาดเล็กรับส่งไปอีกที่ ไม่งั้นก็แบกกันเข้าไป

                พอถึงสนามบินเฉิงตู ก็ทำการเช็คอินทันที “ผมจะไปลาซาแล้ว“ คิดอยู่ในใจสักพัก ก็มีเหล่ากองทัพนักข่าว มาถ่ายรูปพวกผมกันใหญ่ มากันเยอะมาก ยิ้มแทบไม่ทันเลยทีเดียว สงสัยว่าพวกเมิงจะเอารูปกรูไปโปรโมทอะไรไม่ทราบ ค่าตัวก็ไม่ให้ ขออนุญาตสักนิดก็ไม่มี แชะๆๆๆ แล้วพวกผมก็สรุปกันว่า สงสัยนักข่าวชาวจีนพวกนี้คงมาทำข่าวสร้างภาพว่ารัฐบาลจีนดีเหลือล้น ทนเหลือหลาย ให้อิสระกับทิเบต คนเข้าประเทศไปเที่ยวได้ อะไรทำนองนั้น …แล้วผมก็สบถในใจ(อีกแล้ว)เปิดประเทศได้กับผีอะไรล่ะ กว่าจะได้เข้าทิเบต ทัวร์เพิ่งบอกว่าที่ติดต่อเข้าทิเบต มีเพียงสองกลุ่มที่ทัวร์ติดต่อให้เข้าได้เท่านั้น คือกลุ่มผม กับกลุ่มชาวรัสเซีย โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เข้าไปได้ มีเพียงห้าเปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่เหลือ แม่งพวกชาวจีนมารยาทแย่เพ นี่พวกผมกลายเป็นชนกลุ่มน้อยหรอเนี่ย แต่ว่านะ นักข่าวจะถ่ายพวกผมไปก็เท่านั้น เพราะหน้าตาพวกผมแต่ละคน ฝรั่งมากอะ หัวดำ ตาขีด ตัวเตี้ย โปรโมทประเทศยังไงก็ไม่ขึ้น ขนาดตอนจะขึ้นเครื่องนักข่าวยังวิ่งเข้าไปอออยู่ที่gate และวิ่งตามไปดูพวกผมก้าวเท้าขึ้นเครื่องบิน เยอะไปป่ะเนี่ยไอ่พวกนี้ เอ หรือว่าพวกนั้นจะรู้ว่าผมเป็นเจ้าชาย!

                ณ จุดตรวจต่างๆก่อนเข้าทิเบต เข้มงวดมาก สุ่มตั้งแต่กระเป๋าbackpack มันสุ่มจริงๆ แต่งงว่าทำไม มันตรวจแค่ใบเดียว แล้วริบกระป๋องออกซิเจนไปหนึ่ง ส่วนตรงจุดตรวจpassportก่อนเข้าไป ต้องโชว์Tibet permit ให้พวกมันดู ว่าพวกเราเข้าได้จริงและถูกต้องตามกฎการเข้าประเทศทุกอย่าง แล้วพอมันเริ่มสาดคำถามภาษาจีน พวกผมก็ตอบไปอย่างทันควันว่า “หว่อสื้อไท่กั๋ว” นอกจากความหมายว่า ฉันเป็นคนไทย แล้ว ก็ยังมีความหมายอื่นอีก คือ เมิงอย่ามาคุยกับพวกกรู ฟังไม่รู้เรื่องเฟร้ย สุดท้ายมันก็ไม่ถาม เพราะสื่อสารกับพวกผมยังไงก็ไม่รู้เรื่องแน่ และแล้วก็ผ่านจุดตรวจคนเข้าเมือง(ทิเบต)ไปได้ คิดว่าถ้าเข้าไปเมืองอื่นคงจะสบายๆกว่านี้

ภาพเรียกน้ำย่อยจากมุมบนของโปตาลา

                ในช่วงแรกที่เครื่องบินออกจากเฉิงตูผมหลับไม่รู้เรื่อง มาตื่นอีกทีก็คือใกล้จะถึงแล้ว นั่งหันซ้ายหันขวาสักพัก มองไปนอกหน้าต่างพอเห็นภูเขาหิมะลิบๆ ไม่รู้หรอกนะว่าอันไหนเป็นเอเวอเรสท์ มีคนบอกว่าจะเห็น แต่ไม่มีใครประกาศบอกเลย …ในช่วงจังหวะก่อนเครื่องกำลังจะลง ผมได้มีโอกาสเห็นแนวเขาที่ถูกยกตัวเสียดฟ้าเรียงรายอยู่เป็นทิวแถว ส่วนยอดดันปุยเมฆสีขาวจนลับหายไป บางสันเขาทำมุมคมชัด ลับกับแนวร่องเขาที่ทำเส้นแยกแตกออกมา ทำให้ผืนเขาสีเขียวมีจังหวะหักมุมลดไปมาจนเป็นมิติ สีเขียวหลากสี บ้างก็มีแดดทอลงมาให้สว่างสดใส บ้างก็เขียวครึ้มจากเงาเมฆที่ก่อตัวหนาลอยละเลียบเหนือผืนดิน ดินแดนแห่งนี้มันคือทิเบตสินะครับ สวยจัง ผมคิดพร้อมกับอุทานออกอีกครั้งว่า “สวยมากกกกกกก” ความรู้สึกอยากรู้อยากลองไปเดินซอยเท้าในทิเบตได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง นั่งทนรอเครื่องลงถึงพื้นอีกสักนิด ก็จะได้ไปสูดอากาศข้างนอกแล้ว จะเป็นอย่างไรนะ ที่ราบสูงที่มีออกซิเจนเบาบางเพียงหกสิบเปอร์เซ็นต์เนี่ย จะไหวมั๊ยน้อ

ประสบการณ์บนเขาสูงที่เนปาล ก็สอนอะไรผมหลายๆอย่าง และทำให้ผมรู้จัก Altitude sickness

                รอกระเป๋าจากสายพานไม่นานก็ เดินออกมาข้างนอกมองหาป้ายที่เขียนชื่อใครสักคนในกลุ่ม “นั่นไง เจอแล้ว ที่เขียนว่า Roparat” ผมก็เดินรี่เข้าไปหาไกด์ของเรา สิ่งแรกที่ไกด์ทักทายคือ การนำผ้าสีขาวมาคล้องให้ที่คอ เพื่อแสดงการต้อนรับแบบคนทิเบต “Tashi de rek” คำกล่าวสวัสดีของคนที่นี่ ก็ได้นำมาใช้ในการเริ่มสนทนา ไกด์ของผมเป็นคนทิเบตโดยกำเนิดครับ ชื่อ Tenzin เราสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษครับ ซึ่งไกด์ของผมภาษาอังกฤษแข็งแรงกว่าพวกผมทั้งกลุ่มซะอีก นึกในใจว่ารอดตายแล้วกรู ไกด์พูดอังกฤษได้ อยู่ทิเบตคงจะรอดชีวิต เพราะภาษาจีนก็ใบ้กินไปแล้ว แอบขอบคุณกฎเข้าประเทศว่าต้องมีไกด์นำทาง ไม่งั้นคงมาเดินสะพายเป้หนีกระสุน อดอยากอยู่ข้างทางที่นี่ก็เป็นได้

ที่พักที่ผมให้คะแนนถึงสี่ดาวครึ่ง

ถ่ายตัวเองก่อนอันดับแรก

                ในวันแรกที่ทิเบตนี้ ไม่มีอะไรมากนอกจากการทำให้ตัวเองเดินช้าลง กินน้ำเยอะๆ พักมากๆ ระวังAltitude sickness จะถามหา บางคนก็มีอาการปวดศีรษะมึนงงรวมทั้งผมด้วย บ้างก็ชาปลายนิ้วกันบ้างซึ่งน่าจะเป็นผลขางเคียงจาก Diamox หลังจากเอาของเข้าที่พัก Lhasa Yak Hotel โรงแรมสามดาวที่ดูแล้วผมเลื่อนให้เป็นสี่ดาวครึ่งไปซะเรียบร้อย เนื่องด้วยสะอาด ดูดี และใกล้แหล่งเดินเล่นหาของกิน แหล่มไปเลย มื้อเที่ยงมื้อแรก ก็เอาท้องไปฝากที่ร้าน New Mandara Restaurant ผมเริ่มด้วยการกินข้าวผัดไก่ก่อนเลย ทำใจกินจามรีไม่ได้จริงๆ มีคนอื่นเริ่มกินเนื้อจามรีกันบ้าง แอบชิมหน่อยๆ ไม่ไหวจริงๆ เหนียวยิ่งกว่าเนื้อควาย เหม็นสาบด้วย โอยๆ ยอมแพ้คร๊าบบบบ ผมขะมักเขม้นกินมื้อแรกให้อิ่ม แล้วฝึกทำตัวให้เคลื่อนไหวช้าดีกว่า มันรู้สึกมึนหัวจริงๆ ระลอกความทรมานเลยเข้ามาเรื่อยๆ มันมาแล้วสินะ Altitude sickness ผมจดจำอาการได้เป็นอย่างดี เพราะตอนที่ผมไปtrekkingที่เนปาลก็ประสพปัญหาแบบนี้ การไต่เขาขึ้นpoonhill ที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล 3210 เมตร เพื่อไปชมยอดเขาที่สูงสิบอันดับของโลกนะครานั้น ทำเอาผมสนิทกับAltitude sickness ไม่ใช่น้อย เพราะเพื่อนผมทั้งกลุ่มก็โดนมันกระโดดเกาะเช่นกัน เมื่อเคยมีอาการแล้ว ครั้งนี้ก็อาจมีอาการอักเป็นแน่ จึงต้องท่องไว้ว่า ต้องกินน้ำให้พอ อย่าลืมกินยา(Diamox) แล้วเคลื่อนไหวช้าๆ ท่องเอาไว้เจ้าชาย

วิวสวยวามจากห้องน้ำบนpoonhill สูงจากระดับน้ำทะเล 3210 เมตรครับ ณ ตรงนี้ ผมได้รูกจัก Altitude sickness เป็นอย่างดี ที่ลาซายิ่งรู้จักมากขึ้นไปอีกเลยครับ

                บ่ายวันแรกก็เดินสำรวจหาไปรษณีย์ เพราะพอมีเวลาส่งpostcardเล็กน้อย เดินลุยแดดกันเข้าไป ที่ลาซาอากาศหนาวเย็นเวลากลางคืน กลางวันก็เย็นแต่ถ้าออกมาข้างนอกเจอแดดละก็ ร้อนทันที แดดที่นี่แรงมาก ก็เข้าใกล้ดวงอาทิตย์มาตั้งเยอะ รู้สึกถูกUVแผดเผาลูบไล้เลียผิวกันเป็นแถบๆ เลยไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนทิเบตที่นี่ ผิวคล้ำกันเพ แถมวัยรุ่นบางคนตีนกามาเกาะตั้งแต่วัยเยาว์ แน่นอนว่าสาเหตุจากUVละแวกนี้เป็นแน่แท้ แต่คนที่นี่เค้าก็คงคุ้นชินและมีความสุขในแบบของเค้า เพราะที่นี่คือบ้านของเค้า

เอามาเจิมก่อน ผมมาถึงแล้วนะ ฟ้ายังไม่เปิดเลย

                พูดถึงความสุขของคนที่นี่ ไม่รู้ว่ามันสุขจริงแท้แค่ไหน ผมเดินเห็นรอยยิ้มของคนทิเบต ทั้งแก่ เด็ก และรุ่นๆอย่างผม ผ่านไปมาตามท้องถนน ที่แออัดไปด้วยรถราและนักท่องเที่ยวชาวจีน เข้าใจว่าเป็นแค่ความสุขไปวันๆหรือเปล่าไม่รู้ เพราะรอยยิ้มที่ลอยผ่านไปมาก็ถูดสอดแทรกด้วยสีหน้าถมึงตึงของทหาร ตำรวจ จำนวนไม่น้อยที่เดินนวยนาด วางท่า และเดินอาจหาญตรวจตราอยู่ทั่วเมือง ไม่ว่าจะเดินไปทางทิศไหนก็เจอ ทำให้การบันทึกภาพในวันแรกไม่สามารถจะทำได้อย่างสบายใจ เพราะว่ากลัวจะถูกจับซะเหลือเกิน ถ้ามีตำรวจทหารหรือสถานที่บัญชาการมาติดอยู่ในกล้อง ผมเลยคิดแทนคนทิเบตว่า ที่ยิ้มคงยิ้มเพราะจำยอม ไม่มีทางสู้ และต้องอยู่กับมันให้ได้สินะ

                ชีวิตที่เป็นพลเมืองชั้นสองของคนทิเบตดูเหมือนจะจริง คนขับสามล้อ ขายของริมทาง กวาดขยะริมถนน เป็นคนทิเบตทั้งนั้น พลเมืองชั้นหนึ่งของที่นี่คือคนจีนที่คนเงินมากว้านซื้อทุกอย่าง เปิดกิจการ แล้วจ้างคนทิเบตอีกที แย่นะ…กับความรู้สึกแบบนี้ เป็นแบบความรู้สึกที่ไม่ดีเอาซะเลยกับสภาพจำยอม อีกไม่นานการกลืนชาติของจีนคงสำเร็จ เพราะตึกราบ้านช่องผับบาร์มาถึงที่นี่หมดแล้ว ลาซาที่ผมเห็นก็เหมือนที่ได้ทำใจไว้ ตึกสูงระฟ้า ห้างสรรพสินค้า สินค้าแบรนด์เนม เทคโนโลยีต่างๆ ถูกพัดพามาพร้อมกับคนจีน ภายหลังจากที่เส้นทางม้าเหล็กทำการสร้างสำเร็จ เส้นทางนี้ได้ทอดยาวข้ามเทือกเขาสูงเชื่อมให้ทิเบตได้ถูกสัมผัสต้องโลกได้ง่ายมากขึ้นกว่าเก่า ชีวิตของชาวที่ราบสูงทิเบต กำลังจะเปลี่ยนมาจับมือถือแทนกงล้อมนตราในอีกไม่นานเช่นกัน

                เสร็จกิจการสำรวจโลกยามบ่าย แต่แดดยังคงร้อนเปรี้ยงปร้างไปจนถึงหนึ่งทุ่มครึ่ง แม้ว่าพวกผมจะหลบเข้ามานอนในห้องพักกัน เพื่อปรับตัวกับสภาพความสูง(Acclimatization) แต่ก็ไม่วายปวดมึนศีรษะอยู่ดี ซัดพาราไปสองเม็ดก่อนออกเดินทางชมบรรยากาศรอบๆวัดโจคังก่อนจะเข้าพักผ่อน โดยร้านอาหาร Lhasa Kitchen ที่ไกด์แนะนำมื้อเย็นรสชาติก็พอใช้เหมือนเดิม กินให้อิ่มไปงั้นๆ ดื่มLassiซะหน่อย โยเกิร์ตที่นำมาผสมให้เหลวมากขึ้น ปรุงเล็กน้อยปั่นกับผลไม้ อร่อยสุดแล้วในบรรดาเครื่องดื่มของที่นี่

ความเคลื่อนไหวรอบๆโปตาลา

                ในละแวกวัดโจคังมีถนนบาร์คอร์ล้อมรอบไว้ให้เดินดูของฝาก ของพื้นเมืองซึ่งมีขายเต็มไปหมด ไกด์บอกว่าถ้าจะซื้อก็ซื้อได้ที่นี่ล่ะ ถูกที่สุด ไม่ต้องซื้อนอกเมือง เพราะว่ารับมาจากที่นี่เช่นกัน สินค้าของฝากต่อได้หมด ตั้งไว้ร้อยต่อลดไปถึงยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นได้เลย มีเพียงผลไม้ ของกินต่างๆที่ไม่ต้องต่อราคา เพราะราคาเป็นมิตรกับนักท่องเที่ยว วันแรกนี้ที่ลาซาจึงสำรวจคร่าวๆ มองวิวกินบรรยากาศยามเย็น บริเวณที่สวยที่สุดตรงนี้ก็จตุรัสหน้าวัดโจคังนี่ล่ะ เดินสำรวจดูห่างๆ เข้าไปไม่ได้เพราะมีป้อมตรวจ สแกนของ วันนี้กลัวคนในเครื่องแบบ ขอเดินดูก่อนละกันครับ

                ในขณะที่กินลมชมวิว ก็รู้สึกสะกิดใจว่า ณ วัดโจคัง สถานศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตที่มีชีวิตแห่งนี้ มีไว้เพื่อใครกันแน่ ชาวจีน และชาวต่างชาติสามารถเดินเข้าไปเหยียบย่ำหยอกล้อกันได้อยากอิสระเสรี ผิดกับคนทิเบตที่ต้องแสดงบัตรประจำตัวประชาชนถึงจะมีโอกาสเข้าไปสักการะกราบไหว้ได้อย่างใจปรารถนา บางคนไม่มีโอกาสแม้แต่จะเข้าไป ผมเห็นหญิงชราร่างท้วมได้แต่นั่งคุกเข่า หมุนกงล้อ นับลูกประคำท่องบทสวด พร้อมทั้งมองไปยังวัดโจคังที่ห่างออกไปจากเบื้องหน้าเกือบสี่ร้อยเมตร ผุดลุกนั่งขึ้นลงขอพร เข่ากระแทกพื้นเป็นสิบๆครั้งด้วยความศรัทธา การเดินทางนับร้อยกิโลเมตรของชาวทิเบตก็เพื่อความศรัทธาที่ถูกถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ในอดีตความมุ่งมั่นเพียงเท่านี้ก็ทำให้สุขล้น อิ่มเอมใจกลับบ้านได้อย่างภาคภูมิ ว่าครั้งหนึ่งในชีวิตความเชื่อความศรัทธาก็ได้บรรลุเป้าหมาย ในปัจจุบันเพียงแค่ความศรัทธานั้นคงไม่พอ หากไม่มีกระดาษสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดเล็กที่มีชื่อและรูปหน้าพกติดกระเป๋าได้ แค่เพียงเท่านี้ ศรัทธาก็แค่ศรัทธาเถอะคงจบลงได้แค่ตรงหัวเข่าที่กระแทกซ้ำๆอยู่หน้าวัดโจคังอย่างหญิงชราคนนี้

                อนาถใจที่สุดที่คนทิเบตไม่สิทธิ์ในดินแดนที่เรียกว่าทิเบต แล้วมันคือสิทธิ์ของใคร ของผมหรอ นักท่องเที่ยวที่โชว์แค่พาสปอร์ตแล้วลอยเข้าไปในวัดได้ ผมสะเทือนใจครับ เป็นวันแรกในลาซาที่หดหู่อย่างบอกไม่ถูก ผมบอกความรู้สึกของผมต่อหญิงชราคนนั้นกับทุกคนในทริป เพราะว่ามันอัดอั้นจริงๆ สุดท้ายคงได้แต่ปล่อยวาง ให้รู้ขีดจำกัดว่าเรามันเป็นแค่นักท่องเที่ยว อย่าทำลายอะไรที่นี่ และอย่าทำร้ายคนที่นี่ให้บอบช้ำไปมากกว่านี้น่าจะดีที่สุด และผมเชื่อเหลือเกินนะครับว่าความเชื่อความศรัทธาที่ผมได้เห็นในวันนี้ ก็ทำให้ผมสุขล้น อิ่มเอมใจกลับเมืองไทยได้อย่างภาคภูมิว่า ครั้งหนึ่งในชีวิต ผมได้เห็นความเชื่อความศรัทธาที่งดงามและยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง …ราตรีสวัสดิ์ครับ นี่ล่ะครับ Lhasa Drama

กินข้าวกันบนนี้ครับ วิวสวยงามยามเข้า

>> to be continue >>

By Eun Junso : Tibetan story: Believing in BELIEF part I

Tags:

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *