24 Nov 08 : Evaluation..

พูดตามตรงเลยว่าวันนี้หลังออกจากห้องประเมินนี่โคตรเครียดเลย.. จิงๆ..

ตอนนี้มันมีอะไรหลายอย่างเต็มหัวไปหมดเลย.. อะไรผุดขึ้นมาเราก็ดึงมาเขียนละกัน อ่านรู้เรื่องหรือไม่ก็อีกเรื่อง ขอระบายในนี้ละกัน จริงๆแล้วมันก็ควรจะพูดให้จบในห้องหน่ะแหละ แต่ตอนนั้นมันนึกอะไรไม่ออก อึ้ง+มึน ไม่รู้จะพูดอะไร มันค่อนข้างขัดกับที่เราคิดไว้มาตลอดเวลา ความคาดหวังของเรากับของพี่เค้ามันต่างกันหว่ะ.. ออกมาพอตั้งสติได้ ก็ค่อยเรียบเรียงความคิดเก่าๆในช่วงเวลาที่ทำอยู่ตอนนั้น.. ก็พอได้มองเห็นอะไรบางอย่าง

พี่เค้าบอกเราประเด็นเดียวเลยคือข้อเสียที่เด่นชัดของเรา ทำงานช้ามากๆ (ย้ำ) ตามมุมมองของพี่เค้ามันควรจะเสร็จได้เร็วกว่านี้ ไม่ควรใช้ manday เยอะขนาดนี้ และเราเป็นคนที่ test ละเอียดมากเกินไป!?! พยายามจะหา case นู้น case นี่มา test เพื่อหา defect ต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้นก็ได้ มันเสียเวลาเกินไป (งั้นเหรอ!?! อ่อ.. พอรู้แล้วล่ะ ว่าต่อไปเราต้องทำอย่างไร)  โปรโมทขึ้นไปมีปัญหา ก็โปรโมทแก้ก็ได้ พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร… (อืม.. ครับ)

 

เรายังใหม่ เราต้องศึกษาระบบ การเพิ่มระบบใหม่เข้าไปเราต้องแก้เยอะมาก บางทีต้องแก้ถึง core และเราก็ควรจะต้อง test เยอะมาก มิใช่เหรอ?

การเพิ่มระบบใหม่ทำให้ระบบ complex มากขึ้น เราต้องพยายามทดสอบนู้นนี่ เพื่อหาทาง optimize มัน มิใช่หรือ?

งั้นสู้เราทำงานให้เสร็จ ให้พอใช้ได้ ทำงานถูกต้อง ก็เพียงพอแล้วใช่ไหม.. พอ live ไป ระบบช้า ลูกค้าบ่น แล้วค่อยเปิด task มาให้เรา แก้ให้ดีขึ้น ได้ manday มาทำอย่างสบายใจแฮ แถมยิ่งได้ความดีความชอบอีกต่างหาก.. โอ้วว้าว.. ธีรเดช โอเวอร์เอ๊กซ์เปกมาก.. (ประชด)

บั๊กหลายๆตัวที่แก้ไป บั๊กหลายๆตัวที่ลูกค้าติดใจมานาน.. ก็ถูกพบในช่วงเวลาที่เราถูกมองว่า "มันเสียเวลาเกินไป" นั่นแหละ เอวํ

เราไม่รู้นะ.. สำหรับเรา เวลาที่เสียไป กับสิ่งที่ได้กลับมา กับสิ่งที่วันนี้เปิดใช้งานวันแรกได้อย่างไม่มีปัญหา กับความเร็วที่เพิ่มขึ้น กับเซิร์ฟเวอร์ที่ทำงานลดลง..  มันคุ้มนะ!!  แต่ก็นั่นแหละต่างคนต่างมุม.. เราอาจจะเน้น Quality มากเกินไป โดยลืมนึกถึง Throughput ที่ออกมาจาก black box ขี้เลื่อยนั่น

เวลาพี่หันไปถามธี.. ธีก็บอกว่ายังไม่เสร็จตลอด ติดนู้นติดนี่ พี่ก็เลยต้องให้คนอื่นทำ (คือส่วนใหญ่ที่พี่หันมาถาม คืออยู่ดีๆก็มาถามว่า เป็นไงทำถึงไหน เสร็จแล้วยัง เราก็คงต้องตอบไปตามคำถามว่า เหลือนู้นนิดนี่หน่อย ติดตรงนี้อยู่ แล้วก็หันไป จบบทสนทนา โดยเราก็ไม่รู้หรอกนะว่า นั่นคือถามเพื่อจะเอางานใหม่ให้ทำ ซึ่งจริงๆบางครั้งมันก็มีเวลาว่างแหล่ะ ไอ่งานที่ติดนิดๆหน่อย มันก็ไม่ได้ทั้งวัน ให้เอามาทำก็ได้ ซึ่งถ้ามองอีกมุมเราก็ผิดที่ไม่ยอมถามหรือเสนอตัว  ส่วนครั้งไหนที่พี่เค้าตะโกน task ออกมา อยากหาคนทำก็มักจะเป็นช่วงที่เรางานเข้าตลอดเลย เหอๆ แต่ข้อนี้เราก็ ok เกินครึ่งก็น่าจะเป็นความผิดเราเองที่ไม่ยอมบอกพี่เค้าว่ายังพอมีเวลาว่าง.. (ไม่เหมือนปีที่แล้วที่ไฟยังแรงๆ))

 

ใบประเมินให้มาเขียนตอนเช้า แล้วให้ส่งตอนเย็น บังเอิญว่าวันนั้นเราท้องร่วงอย่างหนัก ถ่อไปออฟฟิศอย่างทุลักทุเล ก็คงเขียนไม่ละเอียดด้วยละมั้ง ไม่มีกะจิตกะใจจะเขียน.. อันนี้ก็คงต้องโทษตัวเอง.. ที่เขียนแต่งานที่ใหญ่ๆไปจริงๆ งานก็เลยดูน้อย.. ไม่รู้ว่าตอนเขียนไป คิดอะไรอยู่นะ..

แล้วที่แก้ไป เราโอเคใช่มั้ย (เอ่อ.. ครับ.. มันได้เลขตรงตามที่พี่ตั้งไว้ในใจแล้วล่ะครับ.. ..ผมก็ไม่รู้จะแก้ไงแล้วครับ..)

 

เราก็เข้าใจนะว่าพี่เค้าก็คงลำบากใจแหละ.. เป็นเราเราก็โคตรจะลำบากใจ หรือเครียดกว่านี้ก็ได้.. แต่ก็นะ.. ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่ของตนเอง ก็พึงปฏิบัติไปตามหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด รับฟังความคิดเห็นคนอื่น.. คำชมก็โปรยใส่ตัวให้ชื่นใจ คำติก็รับใส่หัวเอาไปปรับปรุงให้ดีขึ้น.. เราทำงานเป็นทีมเป็นสัตว์สังคม ต้องรับฟังและยอมรับมติของสังคม ^^

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรผมก็ยอมรับผลการตัดสินใจของทุกท่านอยู่แล้วครับ ทุกท่านทำดีที่สุดแล้วครับ 🙂

คุณทำดีที่สุดแล้ว แต่ยังดีไม่พอสำหรับพวกเรา เชิญค่ะ!! (แป่ว!) TT

 

ps. เรารู้สึกว่าเราได้รับรู้ช้าไป น่าจะได้รู้ความคาดหวังของพี่เค้าตั้งแต่ประเมินกลางปี (แต่ปีนี้ดันไม่มี!!) ไม่น่าจะต้องลากยาวมาถึงปลายปี.. กว่าจะรู้ก็สายไปแล้ว (สำหรับปีนี้)…
 

8 thoughts on “24 Nov 08 : Evaluation..”

  1. พี่เพิ่งเห็นโลกแห่งการทำงานจริงจริงจังจังจากคำพูดของน้องนี่แหละค่ะ
    ขอบคุณที่ทำให้พี่เห็นโลกอีกมุมนะค่ะ (ไม่ใช่เห็นแต่งานวิจัย)

    พี่เชื่อว่าน้องธีทำดีที่สุดแล้วค่ะ (อย่างที่เขียนไว้) แต่คำว่าดีไม่พอนั่นไม่จริงนะค่ะ
    คำว่าดีมันแก็แปลความได้มากมาย ถ้าทุกคนทำตามอย่างที่คนอื่นวาดฝันทุกอย่างไว้ ว่าเราต้องทำได้อย่างนั้นอย่างนั้น
    โลกนี้ก็ไม่มีคำว่า "อุดมคติ" ซิค่ะ

  2. Sinee Suwanchais​ri
    เอ่อ ตอนแรกอ่านแล้วว่าจะไม่เม้นละ แต่ทนไม่ได้ว่ะ (ชั้นก็โดนเหมือนกันอ่ะ) 
    จริงๆ ก็อ่านไม่รู้เรื่องหรอกนะ details บักเบิ๊กไรนั่นน่ะ แต่เข้าใจแกว่ะ
    เรื่องการทำงานอ่ะ ไม่มีที่ไหนเพอร์เฟคที่สุดหรอก จริงๆนะ ชั้นก็ปัญหากับทีม
    เยอะแยะมากมายวุ่นวายไม่จบสิ้น เข้าประชุมล่าสุดอ่ะ ชั้นโดนด่าคนเดียว 2 ชั่วโมงเต็มๆ
    เพียงเพราะสาเหตุคือ เจ้านายไม่เข้าใจตัวงานชั้น พี่ในทีมที่ได้โปรโมตเอาปัญหาที่ชั้นไประบายไปฟ้องเจ้านาย (แม่ง ไม่น่าไว้ใจเลย)
    เห็นด้วยกับแกนะว่า คนเรามีหน้าของตัวเองและควรทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ไม่ใช่ว่าทำงานนู่นนี่เละเทะขอให้มีส่งไปวันๆ แต่งานไม่มีคุณภาพ
    แต่การฟาดฟันครั้งนี้คงจะเห็นผลในอีกไม่ช้าล่ะแก เพราะตัวเราเองย่อมรู้ดีที่สุดว่าเราทำอะไรอยู่ ขอแค่เราซื่อสัตย์กับตัวเองก็พอนะ
    ตอนนี้เราก็ทำงานให้เต็มที่ที่สุดเหอะ ตั้งแต่วันนั้น ชั้นก็ทำงานเอาโล่เลย พิสูจน์ตัวเองแม่งงงให้รู้ไปเลยอ่ะ
    สู้ๆนะแก สู้ต่อไป มีปัญหาเรื่องงาน ยังดีกว่ามีปัญหาเรื่องคนนะ (คอนเฟิม)
  3. เห็นแกเขียนตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว เพิ่งมีเวลาเมนท์
    โปรแกรมที่บั๊กน้อยลูกค้าเค้าก็มักไม่ค่อยชมเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าบั๊กเยอะก็มั่นใจได้ว่าโดนด่าแน่ๆ เวลาเขียนโปรแกรมมันต้องมี trade-off ระหว่างคุณภาพของงานกับความเร็วในการทำอยู่แล้วหละ ดังนั้นบั็กยังไงมันก็ต้องมี แต่ขึ้นอยู่กับว่าเวลาที่จะเทสมันมีเท่าไหร่ ถ้ามีงานที่ต้องทำเยอะแต่คนเท่าเดิม เวลาการทำงานมันก็ต้องลดเพื่อให้มันมี features ที่ต้องการครบด้วยเช่นกัน เราคิดว่าในมุมมองของคนจัดการresource เค้าอยากให้มี features มากที่สุดในขณะที่มีบั๊กในระดับที่ยอมรับได้ (5%, 10% ก็ว่ากันไป) ดังนั้นเวลาที่เค้าคิดว่าจะต้องเสร็จ มันคือสมบูรณ์ xx% ตามมาตรฐานของเค้า แต่ไม่ใช่ถูกต้อง 100%
    เราว่านะ แกควรจะไปคุยตกลงเลยว่าสิ่งที่ทำมันควรจะเสร็จในเวลาเท่าไหร่ ในความคิดของพี่เค้ามีเปอร์เซ็นต์ที่ยอมรับการเกิดบั๊กอยู่เท่าไหร่ เอาตัวเลขเป็นตัววัด ทุกคนเห็นเหมือนกัน ทุกคนเข้าใจตรงกัน ถ้าไม่เข้าใจ ก็ต่อรองกันได้ แบบนี้มันน่าจะแฟร์กว่านะเพราะความสามารถของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน จะใช้ความรู้สึกเป็นตัวตัดสินมันไม่ได้ เรื่อง test ก็พยายามทำให้มากที่สุดเท่าที่เวลาจะมี ถ้าแก้ไม่ทันก็โน้ตไว้ว่าเป็น known issue แล้วค่อยมาแก้เมื่อมีเวลา (หรือลูกค้าreportปัญหามา) ทุกคนชอบ developer ที่ทำงานละเอียดอยู่แล้วหละ
    ส่วนเรื่องถามเพื่อให้งานเพิ่ม แกลองถามต่อดูว่ามีงานอะไร เร่งแค่ไหน ถ้าเค้ามี timeline ก็น่าจะรู้ได้ แล้วตัวแกเองก็น่าจะประเมินได้อ่ะว่าสามารถรับงานเข้ามาทำได้หรือเปล่า

    ทั้งนี้ทั้งนั้นเราใช้ประสบการณ์ที่เราทำกับบริษัทเรานะ ถ้ามีอะไรเอาไปใช้ได้ก็ใช้ด้วยหละกันนะ ชีวิตจะได้แฮ้ปปี้ขึ้น ^^
    แกเป็นคนมีความสามารถอยู่แล้ว บริษัทถ้าขาดแกไปคงต้องเสียใจแน่นอน 😀

  4. hm.. วัด throughput ของคนมันวัดลำบากนา… โดยเฉพาะ coding ที่บางทีมันต้องคิดหา algo ให้ได้โปรแกรมดีๆออกมาจริงๆอะ
     
    ไม่รู้ที่นั่น testing กันจริงจังแค่ไหน แต่ถ้าบริษัทที่นี่เค้า test กันเว่อสุดขีดทีเดียว มีสร้างระบบ automated testing system กันเป็นล่ำเป็นสัน พนักงาน testing นี่เกินจำนวนพนักงาน developer รึเปล่าก็ไม่รู้ อย่าง google เนี่ย เค้ามีเขียนโปรแกรม/api เพื่อควบคุม browser เพื่อสำหรับ testing โดยเฉพาะเลยนะ แบบบังคับให้กดปุ่มนู้นปุ่มนี้ไรแบบเนี้ย แล้วเวลา test ทีนึงก็เอาไป run บน cluster farm… ประมาณว่ามันจะเอากันให้ครบทุก case ><
  5. Nititorn Limcharoen

    ช่วงนี้เศรษฐกิจตกต่ำ

    ยังไงก็ต้องอดทนว่ะ
    อย่าเปรี้ยวมาก

    เดี๋ยวโดนปลด
    -*-

  6. benjamas chotematee​pirom
    ทุกคนทำดีที่สุดแล้วจริงๆล่ะ ไม่มีใครผิดหรือถูกแค่คนละมุมมองหรือจะให้ตรงๆเลยก็คือ goal ไม่ตรงกัน
    ควรจะคุยกันนะแล้ว set goal ให้ตรงกันตั้งแต่เริ่มทำงาน พี่ก็เข้าใจนะว่าทำไมถึงโดนว่าอย่างนั้น พี่ว่าทีก็คงเข้าใจ
     
    ที่ทีทำเป็นสิ่งที่ดีนะ แต่ถ้าจะให้พี่แนะนำ ควรคุยกับพี่เค้าล่วงหน้านะ แล้วอาจจะแยกเป็น task ใหม่ออกมาให้ชัดเจนไปเลย
    เป็น task ที่ต้องทำตามที่ลูกค้าขอ กับ task สำหรับการปรับระบบหรือเรียนรู้ระบบอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นงานภายในอย่าเอามารวมกัน
    พี่เชื่อว่าพี่เค้าก็อยากให้ทำนะ เพราะจะเป็นผลดีต่อไปแน่ๆ แต่ก็อาจจะต้องเหนื่อยหน่อยเพราะ output บางทีมันเห็นไม่ชัด
     
    สู้ๆต่อไปนะ ทำสิ่งที่ตัวเองคิดว่าดีน่ะดีแล้ว แต่ควรสื่อสารกันให้มากขึ้นนะ ภูมิใจกับงานตัวเองนะคับ..
     
    เรื่องถามหา volunteer ทำงานพี่เข้าใจเลยนะ พี่อยู่ที่นี่ก็เป็น ไม่รู้เป็นเหมือนกันหรือเปล่า อาจจะคนละสาเหตุ
    พี่อยู่ที่นี่ ภาษาไม่ดี บางทีตามเข้าไม่ทัน เหมือนจังหวะการทำงานไม่ตรงกัน เค้าเร็วกว่าเรา แต่การถามหาอาสาสมัครเนี่ย
    มันต้องคิดเลยว่าเราพร้อมจะทำไหม แรกๆพี่ไม่กล้ารับสักงาน แต่ผ่านไปก็จำเป็น บางทีคิดไม่ทันก็รับมาก่อน แล้วก็มาหนักใจ เหอๆๆ
    แต่ชีวิตก็แบบนี้ ก็ต้องยอมรับว่าเราตามเค้าไม่ทัน ก็หวังว่าเวลาผ่านไปแล้วมันจะดีขึ้นเรื่อยๆ
     
    ทีเป็นคนคิดมาก ก็มีทั้งข้อดีและไม่เสียของมัน แต่ยังไงทีก็คือที ยังไงก็เปลี่ยนไม่ได้ พี่ก็ไม่ได้บอกให้เปลี่ยนนะ ที่เป็นอยู่ก็ดีแล้ว
    เป็นตัวของเราเอง แต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน ทำที่เรามีความสุขนะ แล้วให้คนรอบข้างมีความสุขด้วย
    สื่อสารกันให้มากๆหน่อยนะ ยังไงก็นั่งใกล้ๆกัน สู้ๆคับ..

Leave a Reply to Nititorn Limcharoen Cancel reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *